ชาวสวนชาวไร่ เป็นสำนวนที่พูดถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ตามการเปลี่ยนแปลงของราคาแบบขำขันในตลาดหลักทรัพย์ของไทย โดยปกติชาวไร่นั้นมักจะเป็นการซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาแล้ว และคาดหวังกำไรจากการขึ้นต่อ ส่วนชาวสวนคือนักลงทุนที่จะซื้อหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลงจนถึงจุดหนึ่ง และคาดหวังว่าจะทำกำไรจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นหลังจากที่ลงมาอย่างหนักในเวลาที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ สำนวนดังกล่าวนั้นไปสอดคล้องกับสไตล์การลงทุนที่ได้มีการศึกษาในงานวิจัยต่างกันอย่างจริงจัง คือ สไตล์การลงทุนแบบ Momentum Strategy และ Contrarian Strategy ที่เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีแนวคิดคล้ายกับชาวสวนและชาวไร่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย Momentum Strategy เป็นการลงทุนที่อยู่ภายใต้ความเชื่อว่า แนวโน้มของราคาหลักทรัพย์นั้นจะยังคงดำเนินต่อไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งในงานวิจัยในแนวทางการลงทุนวิธีนี้ จะออกแบบให้นักลงทุนลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนสะสม (Cumulative Abnormal Return: CAR) หรือหุ้นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงกว่าตลาดโดยรวมสูงในอันดับต้นๆ และจะขายหุ้นที่มีผลตอบแทนสะสมต่ำในช่วงระยะเวลาที่พิจารณาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือคล้ายๆกับชาวไร่ที่ซื้อหุ้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูง และจะขายเมื่อหุ้นมีราคาลดต่ำลง Contrarian Strategy เป็นสไตล์ที่นักลงทุนเชื่อว่า ข้อมูลที่เข้ามากระทบต่อระดับราคาของหลักทรัพย์นั้นมีการตอบสนองที่มากเกินไป และเมื่อทุกอย่างกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติราคาหลักทรัพย์จะกลับมาในระดับปกติเอง เช่น หุ้นที่มีการปรับขึ้นของราคามากเกินไปจะปรับลดลงมาในระดับปกติ และหุ้นที่มีการปรับลงของราคามากจะปรับขึ้นมาในระดับปกติเมื่อระยะเวลาผ่านไป ดังนั้นนักลงทุนที่เลือกลงทุนในแนวทางนี้จะทำการขายหุ้นที่มีการปรับขึ้นของราคา และซื้อหุ้นที่มีการปรับลงของราคา หรือเป็นชาวสวนที่มักจะลงทุนในทิศทางที่ตรงข้ามกับแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน ทั้งนี้แล้วชาวสวนกับชาวไร่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ดอกผลจากการลงทุนอย่างไรบ้าง ผู้เขียนได้ศึกษางานวิจัยที่ศึกษาดอกผลของทั้งสองวิธี โดยมีผลการศึกษาที่น่าสนใจคือ 1. Momentum Strategy นั้น เป็นกลยุทธ์ที่ (Jegadeesh & Titman, 1993) ได้กระตุ้นให้นักวิชาการหันมาสนใจถึงประสิทธิภาพของมัน โดยเขาได้ชี้ให้เห็นว่าในช่วงปี ค.ศ.1965 ถึง ค.ศ.1989 การที่นักลงทุนซื้อหุ้นที่เป็นกลุ่มให้ผลตอบแทนดีในอดีต (Winners) หรือ ขายหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำ(Losers) สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าปกติหรือผลตอบแทนการลงทุนชนะผลตอบแทนของตลาดได้ โดย (Jegadeesh & Titman, 1993) ได้พิจารณาข้อมูลอัตราผลตอบแทน 6 เดือนและถือครองจำนวน 6 เดือน (J6K6) ในการตัดสินใจลงทุน และผลตอบแทนจากกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่าตลาดได้เฉลี่ยร้อยละ 12.01 ต่อปี โดยความได้เปรียบดังกล่าวจะหายไปเมื่อระยะเวลาผ่านไปเป็นระยะเวลา 2 ปี และงานวิจัยกลยุทธ์ดังกล่าวที่ประยุกต์ใช้ในประเทศไทยที่ถูกนำเสนอโดย (C & Kral, 2012) ที่วิเคราะห์ผลตอบแทนจากกลยุทธ์นี้ในช่วง ค.ศ.1997 ถึง ค.ศ.2018 โดยมีประเทศที่ถูกวิเคราะห์ร่วมจำนวน 13 ประเทศ พบว่า ประเทศไทย โปแลนด์ และสิงคโปร์นั้น สามารถใช้กลยุทธ์แบบโมเมนตัมได้ และสามารถทำกำไรโมเมนตัม (Momentum Profit) ที่การคำนวณกำไรจากส่วนต่างของผลตอบแทนของกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีในอันดับร้อยละ 10 แรกเทียบกับกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำในอันดับร้อยละ 10 ท้ายเป็นบวก คือ ให้ผลตอบแทนโมเมนตัมเฉลี่ยต่อเดือนร้อยละ 0.71 สำหรับประเทศไทย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือนร้อยละ 9.23 สำหรับประเทศโปแลนด์ และประเทศสิงคโปร์ โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 1 ทั้งนี้จะเห็นว่าการเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัมในประเทศไทยนั้น เป็นกลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการได้ในช่วงระยะเวลาตลอดช่วงการศึกษา แต่ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรจะระมัดระวังสำหรับการใช้กลยุทธ์ดังกล่าว เนื่องจากจะสังเกตพบว่า อัตราผลตอบแทนในช่วงระยะเวลาช่วงหลังนั้น (ค.ศ.2007-2018) อัตราผลตอบแทนแบบโมเมนตัมของกลยุทธ์ดังกล่าวเริ่มลดน้อยลง และสำหรับประเทศไทยนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวนอกจากจะมีผลตอบแทนที่ต่ำมากแล้ว (ร้อยละ 0.07 ต่อเดือน) ยังไม่สามารถยืนยันผลต่างของหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีร้อยละ 10 ในส่วนแรก และหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีร้อยละ 10 ในส่วนท้ายได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้ (t-stat=1.37) ดังนั้นการเป็นชาวไร่ในประเทศไทยจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนในไทยสามารถทำได้เพราะยังสร้างกำไรอยู่ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากความประสิทธิภาพของมันเริ่มลดลงจนเป็นที่สังเกตเห็นได้ 2. Contrarian Strategy หรือกลยุทธ์แบบชาวสวน เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่พิจารณาอยู่บนพื้นฐานว่า เมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ราคาของหลักทรัพย์นั้นจะเคลื่อนไหวรุนแรงเพื่อตอบสนองต่อข่าวมากกว่ามูลค่าที่แท้จริง จากนั้นราคาของหลักทรัพย์จะเคลื่อนที่กลับมาอยู่ในจุดที่เป็นมูลค่าที่แท้จริง กล่าวคือ เมื่อเกิดข่าวดีราคาหลักทรัพย์จะบวกเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อตอบสนองข่าวและจะค่อยๆลดระดับกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริง โดยในทางกลับกันเมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้น ราคาของหลักทรัพย์จะลดลงอย่างรุนแรงแล้วจะค่อยๆปรับขึ้นมาสู้ระดับที่แท้จริงในระยะเวลาต่อมา ดังนั้นนักลงทุนจึงจะสามารถทำกำไรได้จากกลยุทธ์นี้โดยการขายหุ้นที่มีผลตอบแทนปรับขึ้นมาสูงกว่าตลาด และซื้อหุ้นที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าตลาด และถือครองไปชั่วเวลาหนึ่งจนกระทั่งราคาของหลักทรัพย์กลับไปสู้มูลค่าที่แท้จริง และนักลงทุนจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาที่เกิดขึ้น โดย (Lerskullawat & Ungphakorn, 2018) ได้ทำการศึกษากลยุทธ์การลงทุนแบบ Contrarian ในประเทศไทย โดยพิจารณาร่วมกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ได้แก่ เหตุการณ์วิกฤติต้มยำกุ้ง ค.ศ.1997 วิกฤติความวุ่นวายทางการเมือง ค.ศ. 2005-2006 และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ค.ศ.2007-2009 โดยจากการศึกษาพบว่าหุ้นไทยนั้นมีการตอบสนองต่อข่าวสารมากเกินไปในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี (ต่ำ) ในกลุ่มแรก (ท้าย) หากมีค่าสถิติที่เป็นลบ (บวก) สะท้อนการตอบสนองที่มากเกิน ทั้งนี้ผลต่างของอัตราผลตอบแทนส่วนเกินสะสมของหุ้นในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำในตำแหน่งท้ายและหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงในกลุ่มตำแหน่งต้น โดยผลต่างดังกล่าวหากให้ค่าบวกแสดงถึงการตอบสนองที่มากเกินไปอีกด้วย โดยแสดงการตอบสนองที่มากเกินไปของหุ้นไทยในช่วงเวลาวิกฤติแสดงได้จากตารางที่ 2 ทั้งนี้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการซื้อขาย (Lerskullawat & Ungphakorn, 2018) ได้แสดงต่อให้เห็นว่า การซื้อหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำในส่วนท้ายนั้น จะสามารถช่วยสร้างกำไรให้แก่นักลงทุนได้ โดยจะเห็นว่าหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำนั้น จะมีการกลับตัวของราคาและสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้แก่นักลงทุนตั้งแต่เดือนที่ 14 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ไม่พบการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีอย่างมีนับสำคัญทางสถิติ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น คือการซื้อหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำในอันดับท้าย แต่ไม่ทำการขายหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีเป็นอันดับต้น สะท้อนว่าการเป็นชาวสวนในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีอีกกลยุทธ์หนึ่ง โดยมีรายละเอียดแสดงดังตารางที่ 3บทสรุป จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ชาวไร่และชาวสวนยังคงกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามการกลยุทธ์การหรือการใช้สไตล์ในการลงทุนที่กล่าวว่า การเลือกใช้เทคนิคหรือกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งในการตัดสินใจเลือกหลักทรัพย์หรือหุ้นสำหรับการลงทุน โดยการเลือกหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีและคาดการณ์ว่าจะดีไปอย่างต่อเนื่อง (Momentum) หรือการเลือกหุ้นกลุ่มที่ผลตอบแทนต่ำอันดับท้ายของตลาดในเหตุการณ์ที่ราคาหลักทรัพย์ตอบสนองต่อข่าวที่มากเกินไปแล้วคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวขึ้นกลับมาในที่สุด (Contrarian) จากงานวิจัยทั้งสองชิ้นที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าสำหรับตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยการที่นักลงทุนจะใช้กลยุทธ์ซื้อตามในหุ้นที่มีผลตอบแทนที่ดียังสามารถสร้างกำไรให้ได้ ในทางกลับกันนักลงทุนที่จะใช้กลยุทธ์ซื้อหุ้นที่มีผลตอบแทนต่ำหรือปรับตัวลดลงมากเนื่องจากการตอบสนองต่อข่าวเชิงลบที่มากเกินไปนั้น ก็สามารถที่จะทำกำไรในการลงทุนได้เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าสไตล์การลงทุนแบบ Momentum Strategy และ Contrarian Strategy นั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ดังนั้นการเป็นชาวไร่และชาวสวนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ยังคงสามารถสร้างดอกผล หรือผลกำไรให้แก่นักลงทุนได้เช่นเดียวกัน อ้างอิงภาพภาพหน้าปกโดย bongkarn thanyakij จาก canvaตารางที่ 1 โดยผู้เขียนดัดแปลงจาก (C & Kral, 2012)ตารางที่ 2 โดยผู้เขียนดัดแปลงจาก (Lerskullawat & Ungphakorn, 2018)ตารางที่ 3 โดยผู้เขียนดัดแปลงจาก (Lerskullawat & Ungphakorn, 2018)เนื้อหาC, P., & Kral, M. (2012). Momentum effect and market states: Emerging market evidence. E a M: Ekonomie a Management, 15, 115-124.Jegadeesh, N., & Titman, S. (1993). Returns to Buying Winners and Selling Losers: Implications for Stock Market Efficiency. The Journal of Finance, 48(1), 65-91. doi:10.2307/2328882Lerskullawat, P., & Ungphakorn, T. (2018). Does overreaction still exist in Thailand? Kasetsart Journal of Social Sciences. doi:10.1016/j.kjss.2018.02.001 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !