เรื่องและภาพประกอบโดยผู้เขียน ศิลปะแห่งการให้ และ ความงดงามของการตอบแทน "กิ๊งก่องๆๆๆ" เสียงกริ่งที่หน้าบ้านดังระรัว 'ใครกันนะมาแต่เช้าปานนี้' ฉันคิดในใจพลางชะโงกหน้าออกไปดู เห็นร่างท้วมคุ้นตาของป้าข้างบ้านชะเง้อชะแง้อยู่ริมรั้ว "ป้าเอากล้วยน้ำว้ามาให้" หญิงสูงวัยส่งกล้วยมาให้เป็นเครือ และบ่ายวันนั้นแม่ก็จัดการบวชชีกล้วยของป้า แล้วให้ฉันใส่หม้อเคลือบถือไปส่งให้ถึงมือเพื่อนบ้านสูงวัย วันถัดมาป้าคืนหม้อเคลือบของบ้านเรากลับคืนมาโดยใส่แกงเลียงกุ้งสดเต็มหม้อ ท้องถิ่นบ้านเราเรียกการให้และรับอย่างไม่รู้จบนี้ว่า "น้ำใจ" สำหรับประเทศญี่ปุ่นการให้และรับเช่นนี้ถูกปฏิบัติจนกลายเป็นธรรมเนียมพิธีการเยี่ยง "จารีต" ที่เรียกว่า "โอะกุริโมโนะ" (การมอบของขวัญในวาระพิเศษ) หากจะจำแนกว่ารากฐานแห่งวัฒนธรรมการให้ของชาวอาทิตย์อุทัยนั้นเริ่มต้นที่ใด ฉันขอเริ่มต้นที่ "พิธีแต่งงาน" ก็แล้วกัน พิธีแต่งงานที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองด้วยความปีติ การมอบของขวัญแด่ เจ้าบ่าว เจ้าสาว และครอบครัว ล้วนเป็นสิ่งของที่แสดงถึงความปรารถนาที่จะให้คู่แต่งงานมีความสุข โดยการใช้ธรรมชาติรอบตัวมาสื่อความหมาย เมื่อตกลงปลงใจกันแล้ว จึงมีการประกาศความตั้งใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่ง "พิธียูอิโนะ" (พิธีหมั้น) จึงเป็นพิธีการสำคัญที่สื่อถึงการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ของหมั้นที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิงมักจะสื่อถึงการอวยพรขอให้มีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว (ยูอิโนะ คาซาริ; ของประดับงานหมั้น) ถัดจากชุดของหมั้น คือ ชุดแต่งกายเจ้าสาว "ชุดอุชิคาเดะ" ฉันมองชุดผ้าไหมสีขาวปักลายนกกระเรียนนิ่งนาน มันจากดูงดงามและบริสุทธิ์ สำหรับฉันแล้ว สีขาวที่ทอประกายบนชุดนั้นหมายถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนส่วนหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวสามีมีความสุข มากกว่าจะเป็นความสมบูรณ์ทางกาย ในศาสนาชินโตเชื่อว่าทุกๆ สิ่งเกิดจากธรรมชาติและสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติเป็นวัฏจักร ด้วยที่กำเนิดจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์ "สีขาว" จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของหญิงสาวกับสามี หลังจากการใช้วิตใต้ปีกของพ่อแม่สิ้นสุดลง (ชุดอุชิคาเคะ และ โอบิ สีขาวลายนกกระเรียนและพืชฤดูใบไม้ร่วง ด้านขวามือเป็นชุดเครื่องประดับผมสำหรับเจ้าสาว) (ลายปักนกกระเรียนและดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วงงดงามน่าประทับใจ ช่างผู้ตัดเย็บมีความใส่ใจมาก สังเกตตรงตระเข็บมีการต่อลายได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่ขาดตอน) หลังจากพิธีแลกจอกสมรส เจ้าสาวจะเปลี่ยนจากชุดสีขาวมาเป็น "ชุดอิโระนาโอะชิ" มีความหมายถึงการเปลี่ยนสี โดยจะเป็นกิโมโนที่มีการใช้สีสัน ๓ สี คือ ขาว แดง และดำ กิโมโนพิธีการชุดนี้จะถูกจัดเตรียมโดยครอบครัวเจ้าบ่าวเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่เจ้าสาว และในการอธิษฐานขอให้เจ้าสาวมีความสุขนั้น ลวดลายที่ใช้มักจะเป็น "ลายคิชโช" ที่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และปีติยินดี โดยแฝงนัยความหมายคือ ป้องกันสิ่งชั่วร้ายรวมถึงเรียกโชคลาภเข้าหา ประกอบด้วย ลายต้นสน ต้นไผ่ นอกจากนี้ยังมี "ลายโฮไร" ประกอบด้วย ต้นดอกบ๊วยที่งอกอยู่ตามหาดทรายหรือฐานหินที่อยู่ในน้ำ พร้อมด้วยนกกระเรียนหรือเต่า สื่อถึงภูเขาเผิงไหล ที่เป็นดินแดนในตำนานของจีนที่ตั้งอยู่ในทะเลตะวันออก เชื่อกันว่ามียาอายุวัฒนะและเป็นที่อยู่ของเหล่าเซียน (อิโระนาโอชิ; ชุดสำหรับเปลี่ยนในงานแต่งงาน ลวดลายที่เป็นที่นิยมคือ ต้นสน ต้นไผ่ ดอกบ๊วย พร้อมด้วย นกกระเรียนหรือเต่า) ไม่เพียงแต่ของขวัญที่ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวเท่านั้น ครอบครัวของเจ้าสาวก็ได้มอบของขวัญให้คู่แต่งงานใหม่เช่นกัน สิ่งนั้นคือ "โยกิ" (ผ้าห่มคลุมนอนทรงกิโมโน) และ "ฟุตง" (ฟูก) ทั้งสองสิ่งนี้จะประกอบด้วยลวดลายที่อวยพรให้คู่รักมีความสุขที่ยืนยาว มีความรักใคร่กลมเกลียว ผู้เป็นพ่อแม่จึงมอบชุดเครื่องนอนที่ประดับลายคิชโชแก่ลูกสาว เพื่อปกปักษ์รักษาความสุข และความมงคลของลูกสาวหลังแต่งงานเข้าตระกูลอื่น (ลายปักซอยรูปนกกระเรียน เส้นขนสีขาวตรงคอดูพลิ้วไหวสมจริง น่าประทับใจ) เมื่อครั้งที่ฉันไปเที่ยวญี่ปุ่น ยังรู้สึกประทับใจกับการใช้ผ้าห่อสิ่งของตามรูปทรงต่างๆ ได้อย่างมีศิลปะของชาวแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อเห็นว่าส่วนจัดแสดงต่อไปเป็นเรื่องราวของ "หัวใจและศิลปะในการห่อของขวัญ โดยใช้ผ้าฟุกุสะ และ ผ้าฟุโรชิกิ" จึงไม่รอช้าตรงดิ่งเข้าไปชมทันที ในอดีต "คาเคะฟุกุสะ" เป็นผ้าที่นำมาใช้ในการคลุมสิ่งของเพื่อกันแสงแดด สิ่งสกปรก และฝุ่น ต่อมาเมื่อการมอบของขวัญมีความเป็นพิธีการมากขึ้น คาเคะฟุกุสะจึงถูกนำมาใช้ในลักษณะเครื่องประดับตกแต่ง ด้วยเหตุนี้คาเคะฟุกุสะจึงมีการออกแบบลวดลายอย่างประณีต ตามรากฐานทางสังคม ภูมิหลังทางวัฒนธรรม ระดับความรู้ของผู้ให้ เช่น นอกจากลายคิชโชที่พบได้บ่อย บางครั้งยังพบลวดลายที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมหรือปริศนาคำทายอีกด้วย (คาเคะฟุกุสะ ใช้คลุมปกป้องสิ่งของจากมลภาวะภายนอก) (ขวา; ฟุโรชิกิ เป็นผ้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าฟุกุสะ (ซ้าย) เพื่อใช้ห่อ หรือ เคลื่อนย้ายสิ่งของ) ส่วน "ผ้าฟุโรชิกิ" นั้น ทำหน้าที่ปกป้อง และรักษาสิ่งของที่อยู่ภายในรวมถึงใช้ในการมอบของขวัญในบางครั้ง โดยลวดลายที่นิยมมักจะเป็นลายคิชโช เมื่อพูดถึงลายคิชโชแล้วก็ต้องขอเล่าสักหน่อย เดิมลายคิชโชเป็นลวดลายมงคลที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน ก่อนจะปรับเปลี่ยนให้มีความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างงดงามลงตัว นอกจากลายคิชโชแล้วยังมีลายอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน คือ "ลายโชจิคุไบ" เป็นภาพ ๓ สหายแห่งเหมันต์ คือ ต้นสน ต้นไผ่ ดอกบ๊วย สื่อความหมายถึงความมั่นคงและซื่อสัตย์ เมื่อนำลายคิชโช มาผนวกเข้ากับลายโชจิคุไบ จะกลายเป็นลายผสมผสานที่เรียกว่า "ลายโซ จิคุไบ ซึรุ คาเมะ" ซึ่งชาวญี่ปุ่นถือว่ามีความเป็นมงคลสูงสุด และถูกใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในของขวัญต่างๆ ที่ใช้มอบหรือแลกกันจนถึงปัจจุบัน (ลวดลายที่นิยมปักบนคาเคะฟุกุสะ เป็นลวดลายที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน สื่อถึงความสุข สุขภาพแข็งแรง และอายุที่ยืนยาว) (ฟุโรชิกิ ลายตราประจำตระกูล) หลังจากหนุ่มสาวตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ย่อมกำเนิดชีวิตใหม่แตกหน่อขยายพงศ์พันธุ์ต่อไป ส่วนจัดแสดงต่อไปจึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ "ของขวัญจากพ่อแม่แก่ลูก" สื่อถึงความรัก ความปรารถนาดี ที่อวยพรให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง เสื้อผ้าของเด็กๆ ในยุคสมัยนั้นไม่เพียงแต่ใช้ปกปิดร่างกายและสร้างความอบอุ่นเท่านั้น แต่ยังแฝงคำอธิษฐานขอให้ความเป็นมงคลในลวดลายที่ประดับอยู่ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกๆ ของตนจากภัยพิบัติและสิ่งชั่วร้ายตามความเชื่อของยุคสมัยที่วิทยาการทางแพทย์ยังไม่สามารถอธิบายได้ทุกอย่าง โดยจะแบ่งเป็นเสื้อผ้าสำหรับใส่ประจำวัน และเสื้อผ้าสำหรับพิธีการ ชาวญี่ปุ่นมีธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับเด็กแรกเกิดที่เรียกว่า "ฮะสึมิยะไมริ" คือการพาเด็กๆ อายุประมาณ ๑ เดือน ไปสักการะศาลเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อขอบคุณ "อุจิคามิ" (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องพื้นที่นั้นๆ) และขอพรให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ฉันยืนพิจารณาชุด "ฮิโตะสึมิ" (ชุดสำหรับเด็กแรกเกิดถึง ๓ ขวบ) อยู่นิ่งนาน แต่ละชุดมันช่างดูกระจิ๋วหลิวน่าเอ็นดู โดยเฉพาะชุดที่มีการปัก "เสะมาโบริ" ไว้ที่กลางหลัง เพื่อป้องกันสิ่งขั่วร้ายที่จะเข้ามาจากทางด้านหลัง และยังเสมือนมีพี่ตุ๊กตาติดตามไปในทุกที่ คงทำให้เด็กๆ รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย ใกล้กับตุ๊กตาฮินะ ซึ่งเป็นของขวัญที่พ่อแม่มอบให้ลูกสาวในวันเด็กผู้หญิง เป็นชุดเกราะขนาดเท่าตัวเด็กเล็กๆ มันทำให้ฉันถึงกับงงงันไปวูบใหญ่ว่า เด็กเล็กๆ ขนาดนี้ยังต้องออกไปรบทัพจับศึกอย่างทหารหาญด้วยหรือ ภายหลังจึงทราบว่าที่แท้แล้วฉันเข้าใจผิด! ในสมัยเอโดะ สำหรับชนชั้นซามูไรและชนชั้นอื่น การอยู่รอดของวงศ์ตระกูลจะขึ้นกับลูกชาย ของขวัญที่พ่อแม่เตรียมให้จะเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต ชุดเกราะจิ๋วที่นำมาจัดแสดงชุดนี้จะเปรียบเสมือนคำทำนายอนาคตของเด็กชายตระกูลซามูไรในชั้นไดเมียว (ชุดเกราะสำหรับเด็กชาย) (ตุ๊กตาฮินะ สำหรับบ้านที่มีลูกสาว จะถูกนำออกมาจัดเรียงในวันเด็กผู้หญิงช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่ออธิษฐานขอให้เด็กหญิงเติบโตและมีสุขภาพที่แข็งแรง) (หมวกและผ้ากันเปื้อน ตัดเย็บจากผ้าไหมเครปสีขาว ลายเพาว์โลเนีย และนกฟีนิกซ์) (ฮิโตะสึมิ; ชุดของเด็ก) (เสะมาโบริ ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาจากทางด้านหลังให้กับเด็กๆ) (ฮิโตะสึมิ; ชุดสำหรับเด็ก ตัดเย็บจากผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ลายดอกเบญจมาศและตราประจำตระกูล) ดังที่เล่าไปตอนต้นเรื่องถึงการแลกของกินกันไปมาระหว่างแม่และป้าข้างบ้าน ทั้งเพื่อแสดงน้ำใจไมตรีฉันมิตร และมุ่งหวังการช่วยเหลือดูแลกันในคราวฉุกเฉิน สำหรับชาวแดนอาทิตย์อุทัยเองก็มีการมอบของขวัญเพื่อการกระชับความสัมพันธ์เช่นกัน โดยเฉพาะระหว่างขุนนางบริวาร เจ้านายลูกน้อง แม้กระทั่งคนละแวกเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นก็จะพิถีพิถันในการเลือกสิ่งของที่เหมาะสมแก่ผู้รับ เพื่อแสดงถึงความใส่ใจและให้เกียรติ ตราประจำตระกูลของชาวญี่ปุ่นถูกสร้างขึ้นในยุคศักดินา เพื่อแจ้งให้ผู้พบเห็นทราบโดยไม่ต้องพูดจาให้มากความว่าตนเป็นคนของตระกูลใด เสื้อผ้าที่มีตราประจำตระกูลนี้เสมือนเป็นการปลูกฝังความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตระกูล เพื่อให้มีแรงใจทุ่มเทให้กับกิจการงานของตระกูลมากขึ้น ชุดทำงานที่เจ้านายมอบให้นี้เรียกว่า "โอชิคิเซะ" หมายถึงความรู้สึกขอบคุณที่ได้รับของขวัญตลอดทั้งสี่ฤดู ชุดทำงานที่มีลักษณะเป็นเสื้อคลุมตัวสั้นสำหรับสวมทับกิโมโนโดยไม่ต้องพับปกเสื้อ เรียกว่า "ฮันเทน"p> ส่วนชุดที่ต้องสวมโดยพับปกเสื้อออกมาด้านนอก เรียกว่า "ฮาโอริ" ตราสัญลักษณ์ของนายจ้างบริเวณกลางหลัง เรียกว่า "คัมบัง"p> ชุดฮันเทนที่มีสัญลักษณ์ประจำตระกูล เรียกว่า "ชิรุชิบันเทน" แปลว่า ฮันเทนที่มีเครื่องหมาย (เสื้อคลุมบุผ้าสองชั้นสำหรับนักผจญเพลง เป็นผ้าฝ้ายสีเทา ลายตัวละคร) (เสื้อคลุมหนังสีน้ำตาล ประดับตัวอักษร "คุโบะ") (ฮันเทน ตัดเย็บจากผ้าใยป่านรามีสีดำ ประดับตัวอักษร "โอะโทโมะ") ส่วนเสื้อคลุมสำหรับงานเฉลิมฉลองของเทศกาลชาวประมง เป็นเสื้อคลุมที่มีลัญลักษณ์ของนายจ้าง เจ้าของอวน เรียกว่า "มัยวัย" เทคนิคในการสร้างลวดลายบนเสื้อคลุมมัยวัยนี้น่าสนใจมาก คล้ายเทคนิคเขียนเทียนของบ้านเรา แต่ใช้กาวข้าวสารแทน โดยใช้กาวที่ทำมาจากข้าวสารใส่ลงในหลอดบีบ แล้ววาดลวดลายลงบนเสื้อ จากนั้นนำเสื้อไปย้อมสีก่อนจะล้างกาวออก อีก ๒ อาชีพ ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจของญี่ปุ่นคือนักแสดง "คาบูกิ" และ "ซูโม่" เหล่านักแสดงสวมชุดยูกาตะที่แสดงลวดลายเอกลักษณ์ประจำตัว และเนื่องในโอกาสทักทายผู้สนับสนุนตามฤดูกาล ในยุคนั้นเหล่านักแสดงก็มีสิ่งตอบแทน F.C. ที่ชื่นชอบและสนับสนุนผลงานของพวกเขาเช่นกัน คือ การมอบ "ชุดยูกาตะ" และ "เทนุกุย" (ผ้าเช็ดมือที่ทำจากผ้าฝ้าย) โดยชุดยูกาตะที่มอบให้แฟนๆ นั้น จะเป็นลายเอกลักษณ์ประจำตัวแบบเดียวกับที่ตนสวมใส่ ไม่ต่างจากงาน Meet & Greet ในปัจจุบันเลยทีเดียว (ชุดของนักแสดงคาบูกิ โอโนเอะ คิคุโกโระ ลายตารางคิคุโกโระ ใช้ในการแสดงเรื่อง มิซุกิ ทัสซึโยะ ปีศาจแมวหิน โดย อุทากาวะ โทโยะคุนิ ที่ ๓) (ชุดอุชิคาเคะ ลวดลายแบบต่างๆ) (ชุดอุชิคาเคะ ผ้าไหมซาตินสีขาวลายไผ่จืด และม้วนผ้าไหม) (เสื้อกั๊กของเด็ก เป็นผ้าฝ้ายทอสีน้ำตาลแดง ลายซากุระและพัดสน) (ผ้าอาบน้ำสำหรับเด็กแรกเกิด ผ้าทอสีน้ำเงินเข้ม ลายสนอ่อน ต้นไผ่ ดอกบ๊วย นกกระเรียน เต่า และเรือใบ) (ซองเครื่องราง บัตรแสดงตัวเด็กผ้าไหมเครปรูปเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย และ ป้ายเด็กหลงทางผ้าไหมเครปรูปกระต่าย) (โนชิ เครื่องประดับที่ใช้พิธีการ ซ้าย: รูปจักรพรรดินีจิงกู ขวา: รูปอิซานางิโนะ มิโคโตะและอิซานามิ โนะ มิโคโตะ) (มัยวัย เสื้อคลุมสำหรับเฉลิมฉลองของชาวประมง) ช่วงเวลาในห้องจัดแสดงสิ้นสุดลง ฉันได้เห็นความงดงามในวัฒนธรรมด้านการให้และรับของญี่ปุ่น ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้ผู้รับมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว แต่ที่ฉันเล่ามายังไม่ใช่ทั้งหมดของงานจัดแสดง หากใครสนใจงานนิทรรศการโอะกุริโมโนะ/สุนทรียะแห่งการให้และได้คืนกลับ สามารถตามไปชมได้ที่ TCDC กรุงเทพฯ ที่ห้องแกลอรี ชั้น ๑ ในวันที่ ๑๘ มีนาคม - ๒๕ เมษายน ๒๕๖๔ และ TCDC ขอนแก่น ที่ห้องแกลอรี ชั้น ๑ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ หมายเหตุ : เจแปน ฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวความงดงามของวัสดุที่ใช้ในการมอบของขวัญ และ พิธีการในการแลกเปลี่ยนผ่านชิ้นงานจำนวน ๙๘ ชิ้น จากยุคก่อนศตวรรษที่ ๑๘ เรื่อยมาจนปัจจุบัน นิทรรศการนี้เดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมาไทยเป็นจุดหมายแรกของโลก โดยแสดงชิ้นงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวาระ การแต่งงาน การห่อของขวัญ การห่อของขวัญ ของที่พ่อแม่ให้แก่ลูก และของขวัญที่สร้างสัมพันธ์ในการงานที่ล้วนถือเป็นรากฐานสำคัญในสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่น นิทรรศการโอะกุริโมโนะ สุนทรียะแห่งการให้และได้คืนกลับ ทำหน้าที่เชื่อมโยงนิเวศความสัมพันธ์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม คน และเศรษฐกิจ ซึ่งจะกลายเป็นกรณีศึกษาที่สามารถผลักดันให้เกิดการจัดการกับทรัพยากรและเทศกาลต่างๆ ที่มีอยู่ในไทย ให้ไปสู่เศรษฐกิจของขวัญ หรือ Gift Economy อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ การสร้างอาชีพ และโอกาสให้ประเทศไทยได้ต่อไป เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !