ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2115 เป็นเส้นทางที่ฉันเลือกเดินทางขับรถเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอท่าลี่ อำเภอเล็ก ๆ แถบชายแดนไทย-ลาวของจังหวัดเลย ถนนสายนี้มีเส้นทางที่คดเคี้ยวและเนินเขาสูงชันอยู่เป็นระยะซึ่งคงไม่ค่อยเหมาะกับนักขับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเส้นทางจะใช้ความเร็วเกินกำหนดในการขับขี่ แต่ฉันสัญจรบนทางหลวงสายนี้มาตั้งแต่ยังเด็กจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน จึงจดจำทางโค้งและเนินเขาทุกลูกบนถนนเส้นนี้ได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นเพราะอำเภอท่าลี่คือบ้านเกิดของฉัน เกือบยี่สิบปีแล้วที่ฉันจากบ้านไปทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนอยู่ที่กรุงเทพฯ และมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านแค่ปีละสองครั้งเท่านั้น คือช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่และวันสงกรานต์ แต่ปีนี้ฉันต้องเดินทางกลับมาบ้านก่อนวันหยุดเทศกาลปีใหม่เพราะแม่โทรศัพท์ไปตามและยืนกรานให้ฉันกลับมาให้ได้ในวันที่ 5 ธันวาคม ฉันขับรถออกมาจากกรุงเทพฯตั้งแต่ตอนตีหนึ่งเพื่อจะให้มาถึงยังจุดหมายปลายทางในเวลาเช้าของวันรุ่งขึ้น แล้วในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงอำเภอท่าลี่ในตอนเจ็ดโมงเช้า ทิวทัศน์สองข้างถนนโอบล้อมไปด้วยภูเขาหลายลูกสูงต่ำสลับกันและทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แสงทองจากพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่โผล่พ้นยอดเขาทางทิศตะวันออกฉาบไล้ซังข้าวแห้งในแปลงนาจนกลายเป็นสีเหลืองทองตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใสของฤดูหนาวและก้อนเมฆสีขาวบางเบา ทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามจนติดตาตรึงใจ เมื่อขับรถมาถึงตัวอำเภอท่าลี่ ภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ รถโดยสารสองแถวหกล้อสีฟ้าสดก็ยังคงให้บริการวิ่งขนส่งผู้โดยสารระหว่างอำเภอท่าลี่สู่จังหวัดเลยเหมือนเดิม รถสามล้อสกายแลปวิ่งรับส่งผู้โดยสารส่งเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มบาดหู และภาพที่เห็นจนคุ้นตาคือผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านออกมายืนรอใส่บาตรข้าวเหนียวอยู่ริมถนนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยสุข สิ่งหนึ่งที่ฉันทำทุกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงอำเภอท่าลี่ ก็คือการไปสักการะ พระธาตุสัจจะ เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเองและครอบครัว องค์พระธาตุสัจจะนี้ตั้งอยู่ที่วัดลาดปู่ทรงธรรม ถือเป็นปูชนียะสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเราชาวอำเภอท่าลี่ ตามประวัติถูกบันทึกเอาไว้ว่า องค์พระธาตุได้สร้างขึ้นครอบรอยพระพุทธบาทจำลองเพื่อเป็นการต่อชะตาให้กับพระธาตุพนมที่จังหวัดนครพนม ที่ได้หักโค่นพังทลายลงในปี พ.ศ. 2518 จึงมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่คล้ายกันกับพระธาตุพนม ด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์ธาตุและดินที่นำมาจากพระธาตุพนม ถัดจากองค์พระธาตุสัจจะมาไม่ไกลนัก จะแลเห็น พระรัตนมหามิ่งมงคลบรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางเปิดโลก สีทองเหลืองอร่าม ยืนเด่นสง่าด้วยความสูง 32 เมตร เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวอำเภอท่าลี่ต่อความศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา องค์พระธาตุสัจจะ สักการะพระธาตุสัจจะเพื่อความเป็นสิริมงคง พระรัตนมหามิ่งมงคลบรมไตรโลกนาถ เหตุผลที่แม่ยืนกรานให้ฉันกลับมาบ้านให้ได้ภายในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เป็นเพราะว่าครอบครัวของเราจะทำบุญ “ต้นผึ้ง”เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับย่าที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว การทำต้นผึ้งนี้เป็นความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องราวในพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสร็จไปจำพรรษาใน ป่าปาลิไลยก์ โดยลำพังพระองค์ ด้วยมูลเหตุเพราะทรงรำคาญพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีสองคณะพิพาทและแตกสามัคคีกันถึงกับไม่ยอมลงโบสถ์ร่วมกัน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเข้าก็ได้เสด็จมาทรงระงับให้ปรองดองกันแต่พระภิกษุทั้งสองคณะก็ไม่เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจำพรรษาอยู่ในป่าดังกล่าว ป่าที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปจำพรรษาครั้งนี้ เป็นป่าใหญ่และเป็นที่อยู่ของพญาช้างเชือกหนึ่งนามว่า ช้างปาลิไลยก์ ป่าแห่งนี้จึงได้ชื่อตามนามของช้าง ด้วยอำนาจพุทธบารมีและพระเมตตาของพระพุทธเจ้า ช้างปาลิไลยก์จึงได้เข้ามาอุปัฏฐากทำวัตรปฏิบัติถวายพระพุทธองค์ ตอนเช้าเข้าป่าไปหาผลไม้มาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำร้อนถวายพระพุทธเจ้าด้วยวิธีเอางวงจับไม้เสียดสีกันให้เป็นไฟ เมื่อไฟติดแล้วก็กลิ้งหินเข้าไปในกองไฟ พอเห็นว่าหินร้อนดีแล้วก็เอางวงจับไม้มางัดหินนั้นไปแช่ไว้ในน้ำซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก หลังจากนั้นจึงเอางวงจุ่มดูเมื่อน้ำร้อนแล้วก็ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเวลากลางคืนช้างก็นำท่อนไม้มาท่อนหนึ่งโดยใช้งวงจับไว้ เที่ยวเดินไปรอบ ๆ ป่าจนกว่าจะรุ่งอรุณเพื่อป้องกันอันตรายที่จะพึงมีแก่องค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ลิงตัวหนึ่ง เมื่อเห็นช้างทำวัตรปฏิบัติถวายงานพระพุทธเจ้าเช่นนั้นก็อยากทำบ้าง วันหนึ่งไปเห็นรวงผึ้งที่กิ่งไม้หาตัวผึ้งไม่มีแล้วจึงได้หักกิ่งไม้นั้นมา แล้วก็นำรวงผึ้งนั้นพร้อมทั้งกิ่งไม้รองไว้ด้วยใบตองเข้าไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับแต่ไม่เสวย ลิงจึงคิดว่าพระพุทธเจ้าคงเห็นเราเป็นแค่ลิงตัวเล็ก ๆ ไม่มีค่าเท่าช้าง จึงได้นำรวงผึ้งกลับมาพิจารณาดูอีกครั้งก็เห็นมีผึ้งตัวอ่อนอยู่ 2-3 ตัว ลิงจึงค่อย ๆ เอาตัวอ่อนออกแล้วนำรวงผึ้งไปถวายพระพุทธเจ้าใหม่ พระพุทธเจ้าทรงรับและเสวยรวงผึ้งนั้น เมื่อลิงเห็นเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก คิดว่าช้างตัวใหญ่ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าได้เราเป็นลิงตัวเล็ก ๆ ก็สามารถทำได้ไม่แพ้ช้าง ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งลิงจึงกระโดดโลดเต้น โผนเกาะกิ่งไม้ต้นโน้นต้นนี้ด้วยความรื่นเริงใจ บังเอิญเจ้าลิงน้อยถึงคราวเคราะห์จึงเผลอไปคว้ากิ่งไม้ผุกิ่งหนึ่งเข้า กิ่งไม้นั้นจึงหักทำให้ลิงตกลงมาถูกตอไม้แหลมเสียบท้องจนทะลุถึงแก่ความตาย ด้วยจิตที่เลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า เมื่อตายไปแล้วลิงน้อยก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำสูง 30 โยชน์เป็นที่พำนักและมีนางเทพอัปสรหนึ่งพันนางเป็นบริวาร เมื่อถึงคราออกพรรษา พระภิกษุที่แตกกันเป็นสองฝ่ายยอมสามัคคีกันเพราะชาวบ้านไม่ยอมทำบุญใส่บาตรให้ จึงได้ส่งผู้แทนคือพระอานนท์ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้าเมือง ช้างปาลิไลยก์อาลัยพระพุทธเจ้านักหนา เดินตามพระพุทธเจ้าออกจากป่าทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วยแต่พระพุทธองค์ทรงห้ามและตรัสให้กลับไปอยู่ป่าดังเดิม ทำให้พญาช้างเสียใจเป็นอันมากจนล้มลงขาดใจตายแล้วไปจุติเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เช่นเดียวกันกับลิง มีบันทึกเอาไว้ว่าช้างปาลิไลยก์นั้นเป็นพระโพธิสัตว์มาสร้างบารมี ในอนาคตกาลข้างหน้าเมื่อสร้างบารมีถึงพร้อมก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า พระสุมงคลพระพุทธเจ้า การสร้างต้นผึ้งและการถวายต้นผึ้ง ก็เปรียบเหมือนกับการได้ถวายรวงผึ้งและเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์ผลบุญเมื่อเสียชีวิตไปแล้วเฉกเช่นเดียวกับลิงนั่นเอง และยังมีความเชื่อว่าการทำต้นผึ้งเป็นพุทธบูชาให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วก็จะทำให้ผู้ล่วงลับนั้นได้รับอานิสงส์สู่สวรรค์เฉกเช่นเดียวกัน สำหรับความเชื่อพื้นบ้านของชาวอีสานที่เป็นปรัชญาคติในการสร้างต้นผึ้งนั้น คือความเชื่อที่ว่าเมื่อคนตายไปแล้วแต่ดวงวิญญาณก็ต้องการสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะต้องการที่อยู่อาศัย ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้มีการประกอบพิธีเส้นสรวงดวงวิญญาณและการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผีเพื่ออุทิศให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วย เฉกเช่นเดียวกับความเชื่อในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวจีนนิกายมหายานที่ทำพิธีกงเต็ก ด้วยการจัดหาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนกระดาษจำลอง แล้วนำมาเผาอุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ คำว่า “ต้นผึ้ง” นั้น ชาวอีสานออกเสียงเป็นสำเนียงว่า “ต้นเผิ่ง” ขั้นตอนการทำต้นผึ้งนั้นถือเป็นหน้าที่ของพวกผู้ชายที่จะต้องช่วยกันตัด ขัด เจาะ และประกอบหอผึ้งขึ้นมา เรียกว่า "หักหอผึ้ง" ส่วนพวกผู้หญิงจะช่วยกันทำดอกผึ้ง โดยวิธีการนำไขขี้ผึ้งใส่หม้อตั้งไฟให้ละลาย ใช้ผลมะละกอดิบตัดเอาเฉพาะส่วนหัวที่เป็นปลายแหลมนำไปปอกเปลือกและแช่น้ำทิ้งไว้ จากนั้นนำผลมะละกอที่ตัดเตรียมไว้แล้วใช้ด้านหัวปลายแหลมเป็นแม่พิมพ์จุ่มลงในไขขี้ผึ้งที่ถูกลนจนละลาย ไขขี้ผึ้งจะเคลือบติดขึ้นมาจึงนำลงแช่น้ำอีกครั้งให้ไขขี้ผึ้งที่เคลือบติดมะละกอนั้นหลุดออกมาเป็นรูปทรงกลีบดอกไม้อย่างสวยงาม ส่วนเกสรดอกผึ้ง ใช้เหง้าขมิ้นแก่หั่นตามขวางจะได้แผ่นแป้นทรงกลมแบบสีส้มสดใส นำไปเสียบตรงกลางกลีบดอกที่เตรียมไว้ยึดด้วยไม้กลัดกลายเป็นดอกผึ้งพร้อมใช้ปักประดับต้นผึ้ง ประเพณีการทำต้นผึ้งนี้มีคำโบราณอีสานกล่าวไว้ว่า "ผู้หญิงห่อข้าวต้ม ตัดดอก บีบข้าวปุ้น ผู้ชายหักหอผึ้ง” แสดงให้เห็นถึงความร่วมไม้ร่วมมือของวิถีชีวิตแบบชนบทเมื่อถึงเวลามีงานบุญงานกุศล ต้นผึ้งที่จัดทำของแต่ละบุคคลนั้น เรียกว่า ต้นผึ้งน้อย ส่วนต้นผึ้งที่ใช้ในขบวนแห่นั้น เรียกว่า ต้นผึ้งใหญ่หรือหอผึ้ง ซึ่งต่อมาได้ถูกสร้างสรรค์อย่างประณีตสวยงามและอลังการเป็นรูปทรงต่าง ๆ ในเทศกาลท่องเที่ยวประจำปีของแต่ละจังหวัดในช่วงวันออกพรรษา ชาวภาคกลางเรียกว่า "ปราสาทผึ้ง" เครดิตรูปถ่ายจาก เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โครงต้นผึ้งทรงหอผี ต้นผึ้งที่เสร็จแล้ว เตรียมนำไปถวายวัด หลังจากร่วมแรงร่วมใจทำต้นผึ้งเสร็จแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระและใส่บาตรข้าวเหนียวขึ้นภายในบ้านด้วย เพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณของย่าที่ล่วงลับไปแล้วจะสามารถมารับผลบุญที่อุทิศส่วนกุศลให้นี้ได้ในทันที และให้พระสงฆ์ช่วยทำพิธีปัดเป่าขจัดสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกไปจากบริเวณบ้านด้วย ขั้นตอนพิธีการทางศาสนานั้นจะนิมนต์พระมาทั้งหมด 9 รูป พิธีกรกล่าวเชิญเจ้าภาพจุดธูปเทียน กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล หลังจากรับศีลแล้ว พิธีกรจะกล่าวคำอาราธนาพระปริตร เสร็จแล้วพระสงฆ์ก็จะเจริญพระพุทธมนต์ ต่อเมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้วทุกคนที่มาร่วมงานก็ถวายบิณฑบาตแด่พระสงฆ์ เจ้าภาพจัดเตรียมอาหารคาวหวานใส่สำรับมาพร้อมแล้วกล่าวคำถวายภัตตาหาร หลังจากพระฉันภัตตาหารเสร็จเจ้าภาพก็เตรียมจตุปัจจัยไทยทานถวายพระสงฆ์ จากนั้นพระสงฆ์ก็จะกล่าวคำอนุโมทนา ประพรมน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ตามเสามุมบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จแล้วก็กราบลาพระเป็นเสร็จพิธี ในยุคปัจจุบันนี้ โลกของเรากำลังเผชิญกับการคุกคามของเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตที่วิ่งไล่ให้เราไปสู่โลกอนาคตอันทันสมัยอย่างรวดเร็ว จึงมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ส่งผลให้ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เริ่มทยอยสูญหายไป ในอดีตสังคมแบบชนบทของชาวอีสานนั้น ผู้คนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ ตอนนี้อำเภอท่าลี่บ้านเกิดของฉันยังคงรักษารากเหง้าของเราและอนุรักษ์วิถีชีวิตชนบทแบบดังเดิมเอาไว้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าสังคมเมืองและเทคโนโลยีจะตามไล่ล่ามาถึงอำเภอที่สงบสุขแห่งนี้ในตอนไหน หากวันนั้นมาถึงคงมีเรื่องราวที่ท้าทายอีกมากมายให้ทุกคนได้เผชิญ #เที่ยวอำเภอท่าลี่ #จังหวัดเลย #รักบ้านเกิด