การผจญภัยปีนขึ้นเขาที่มีทั้งความเหนื่อย ฝึกความกล้าและท้าทายที่หลายคนอยากไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง สถานที่แห่งนั้น ก็คือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอภูกระดึง จ.เลย ที่มีเส้นทางเดินขึ้นเขาค่อนข้างโหดด้วยระยะทางหมูๆ แค่ 9 กิโลเมตรนั่นเอง เพราะเคยได้ยินเพื่อนที่ทำงานเล่าถึงความโหดของภูกระดึงก็เลยมาลองสักตั้งและเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยพิชิตยอดภูกระดึงได้สำเร็จมาครั้งหนึ่ง และอยากจะเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน อุทยานแห่งชาติภูกระดึงเปิดให้ขึ้นตอน 6 โมงเช้า แต่ก่อนจะถึงภูกระดึงก็เดินไปจ้างลูกหาบขนสัมภาระขึ้นไป กิโลละ 30 บาทเอง และค่าเข้าอุทยานฯ ก็คนละ 10 บาทเท่านั้นเอง คุ้มสุดๆ และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงเลยเดินมาถึงทางขึ้นภูกระดึง ก็เลยหยิบไม่ค้ำติดมือไปด้วย จากนั้นก็เริ่มเดินด้วยระยะทาง 100 เมตรก็เริ่มท้อและเหนื่อยแล้วเพราะยิ่งขึ้นทางก็ยิ่งชัน คือมันโหดกว่าที่คิดอีกนะ ช่วงนั้นเป็นวันนั้นของเดือนเสียด้วย เลยเหนื่อยง่ายหน่อย เดินไปหยุดพักไปแต่ก็มีเพื่อนๆ คอยให้กำลังใจเลยลุกขึ้นสู้ต่อ อากาศเย็นสบายแต่พอสายๆ ก็เริ่มร้อน เหงื่อไหลจนน่ารำคาน ค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ เหนื่อยก็พักจนเดินมาถึงซำแฮก มีร้านค้าให้เลือกซื้อของไม่ว่าจะเป็นน้ำ ของกิน เสื้อผ้า แต่ราคาค่อนข้างแพง เราก็นั่งพักดื่มน้ำเอาแรง ตอนนั้นไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเลย ฮ่าๆ พอเริ่มหายเหนื่อยก็เดินมุ่งหน้าสู่ด่านซำบอนต่อไป หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มเห็นขั้นบันไดให้ปีนป่ายแต่ก็ชันมากและทางก็แคบ แถมลื่นอีกด้วยเดินก็ต้องค่อยๆ เดินทีละคน ยิ่งเดินมากเท่าไรแรงก็ยิ่งเริ่มถดถอย ก็เลยอาศัยดูชมธรรมชาติข้างๆ เสียงนกร้องบรรเลงเพลงให้เสนาะหู ก็ช่วยบรรเทาความเหนื่อยไปได้บ้าง ก็มุ่งหน้าเดินต่อไปแต่ละด่านก็ดีตรงที่ว่ามีร้านค้าให้เลือกซื้อของ ส่วนใหญ่ที่เราซื้อคือน้ำมากกว่า เพราน้ำอร่อยสุดละวินาทีนั้น ยิ่งเดินใกล้ถึงที่หมายมากเท่าไร หนทางก็ยิ่งโหดมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็มาถึงด่านสุดท้ายที่เรียกว่าหลังแป มีโหดหินเรียงรายต่อๆ กันไป ทางก็ลื่นคนเดินสวนกันก็ไม่ได้ มีบันไดก็ตั้งชั้นมาก ต้องค่อยๆ ไต่ขึ้นไปจนถึงยอดภูกระดึง ทางที่โหดที่สุดสำหรับเราก็คงเป็นหลังแปกับซำแฮกนี่แหละ ขาขึ้นเราใช้เวลา 7 ชั่วโมงเลยทีเดียว มาลองเดี๋ยวก็จะรู้ ฮ่าๆ และแล้วก็ถึงจุดชมวิวของอุทยานฯ มานั่งตรงนี้ได้แทบขาดใจก็นั่งพักยาวไป ถ่ายรูป ชมทิวทัศน์สวยมากๆ อากาศดีเย็นสบายค่อยเบาเหนื่อยหน่อย จากนั้นก็ต้องเดินเข้าไปศูนย์บริการอีก 3 กิโลเมตรทางเดินราบเรียบเหมือนถนนในหมู่บ้าน ข้างๆ ทางก็จะเป็นป่าสนให้ชวนมอง แล้วก็เดินมาถึงจุดกางเต็นท์อย่างหมดแรง เมื่อได้จุดกางเต็นท์ ก็คือ ใกล้ๆห้องน้ำก็สะอาดน้ำเย็นมาก ตอนเย็นฝนตกอีกและก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน นั่นก็คือ ทากดูดเลือด นั่นเอง คืนนั้นนอนไม่หลับเลยระแวงทากมาก เราเคยโดนมันดูดด้วยกัดเจ็บมาก เพราะมันชอบที่ชื้นๆ ปูนขาวก็ช่วยไม่ได้ กลางคืนอากาศหนาวมาก หนาวจนสั่น กว่าจะหลับได้ก็ตี 3 เหอะๆ ตื่นเช้ามาอากาศสดชื่นจริงๆ ก็มีภารกิจเดินไปชมความงามของ ผาหล่มสัก ต้องเดินไปอีก 9 กิโลเมตรแต่ระหว่างทางนั้นก็แวะไหว้พระสักหน่อย ทางเดินค่อนข้างโล่ง มีต้นสนรายล้อมให้เป็นพื้นป่าบางๆ พอไหว้พระเสร็จก็มุ่งหน้าเดินต่อไป เดินผ่านทางมาเรื่อยๆ เดินไปตามที่ลูกศรแต่ละจุดบอก และก็มาแวะชมน้ำตกธารสวรรค์ มีสิ่งมีชีวิตมากมายไม่ว่าจะเป็นนก ต้นเฟิร์น มอสส์ จุดนี้ก็เป็นจุดที่สวยอีกมุมหนึ่งแต่ก็แฝงไปด้วยบรรยากาศเงียบๆ และวังเวง พอถ่ายรูปเพียงพอแล้วก็เดินต่อไป ในที่สุดก็เดินมาถึง Landmark ของภูกระดึงที่เรียกว่า ผาหล่มสัก จนได้แต่ความรู้สึกตอนนี้ คือ ปวดเมื่อยไปหมด เหนื่อยล้าอ่อนแรง แต่พอเห็นจุดนี้ก็ตื่นเต้นดีใจ และก่อนที่จะเข้าไปถ่ายตรงหน้าผาก็จะต้องต่อคิวถ่ายรูปเสียก่อน เดินตรงหน้าผาก็ต้องค่อยๆ เดินก็รู้สึกเสียวเหมือนกันนะ กลัวว่าจะตกลงไป เราได้ภาพมาก 4-5 รูปได้ จากนั้นก็เดินกลับที่พักด้วยเส้นทางใหม่อีก 9 กิโลเมตร เดินกลับทางนี้ก็จะมีผาต่างๆ ให้ชมวิว แต่เราไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปและ เพราะเหนื่อยมาก ปวดแขนขาด้วย และเวลาเดินทางกลับก็เดินลงโดยใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง รวมๆ แล้วเราเดินบนอุทยานประมาณ 36 กิโลเมตรได้ และตอนเดินลงขาสั่นมากๆ เรี่ยวแรงไม่มีแต่ก็ต้องทน มันก็สนุกและท้าทายไปอีกแบบนะ ส่วนใครที่อยากมาทดสอบความอดทน ขอแนะนำว่าให้ใส่ชุดวอมและรองเท้าที่สบายที่สุด และไม่ควรนำสัมภาระมาเยอะ ของกินก็ไม่ควรเอาขึ้นมาเยอะ และที่สำคัญคือ ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม เราเตรียมตัวมา 1 เดือนยังต้องขอยอมแพ้กับความโหดของที่นี่ แต่มันก็มีความท้าทายบวกความพยายาม ฝึกความอดทนของเรา ถ้าใจเราสู้เราจะชนะทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย มาลองแล้วจะไม่ผิดหวังเลยคะ