เคยมีเพื่อนของผมถามผมว่า ถ้าขอพรสักขอได้ในปีใหม่ จะขออะไร? ก่อนจะตอบเพื่อนไปก็ฝันฟุ้งไปเรื่อย ขอให้รวยบ้าง ขอให้มีแฟนบ้าง แต่สุดท้ายก็มาลงเอยด้วยคำตอบง่ายๆ ที่ตอบเพื่อนได้อย่างสวยหรูด้วย และตอบตัวเองได้ตรงกับใจด้วย ก็คือ "ขอให้คนใกล้ตัวเรามีความสุข" เพื่อนคนเดียวกันบอกว่า ถ้าจะขออะไรแบบนี้ ลองไปขอกับวัดสิ น่าจะได้ผลอยู่ ผมฟังแล้วก็อืมๆ เออๆ ไป แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรจริงจังจนลืมเรื่องที่คุยกันไปในที่สุด ช่วงที่พักอยู่ที่เชียงคาน ณ เช้าวันขึ้นปีใหม่ มีความตั้งใจจะเดินทีล่ะก้าวไปยังแก่งคุดคู้ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงคาน และได้ยินจากเพื่อนมาว่า มีทางที่ทำเลียบแม่น้ำโขงจากตรงถนนศรีเชียงคาน เลียบโขงไปเรื่อยๆ จนไปจรดที่แก่งคุดคู้ เลยเกิดความคิดที่ว่าจะลองเดินไปตามเส้นทางนั้นดู ถึงแม้ระยะทางจะค่อนข้างไกลมาก แต่เดินไปเรื่อยๆ ก็น่าจะถึง แต่เอาเข้าจริงๆ พอเดินไปเรื่อยๆ ก็พบว่าทางเดินที่คิดว่าใกล้ ก็แอบไกลอยู่เหมือนกัน ในระหว่างที่เดินไปได้ 1 กิโลเมตร เลยเกิดความคิดที่ว่าจะเปลี่ยนใจ ไม่ไปแล้วแก่งคุดคู้ แต่พอเห็นป้ายบอกทางไปวัดเชียงคาน(หอสองนาง) เหลืออีกเพียงกิโลนิดๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าไปแก่งคุดคู้ไม่ไหว ก็ลองเข้าวัดดูก็แล้วกัน วัดเชียงคานซึ่งที่ป้ายบอกทางมีวงเล็บว่าหอสองนาง เพราะแต่เดิมชื่อวัดสองนางมาก่อน แต่ประวัติของวัดโดยละเอียดมีให้สืบค้นไม่ค่อยมากนัก ใกล้ๆ วัดมีสวนน้ำและมินิกอล์ฟที่ยังคงเปิดบริการอยู่ ตัวสวนน้ำนี้เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่คนนิยมมาเที่ยวกันมาก แต่พอในเวลาต่อมาก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเพราะว่าราคาค่าเข้า (ซึ่งเป็นหลักร้อย) แพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจ่ายไหว ที่สำคัญอากาศแถวนี้ส่วนใหญ่จะเย็นตลอดเวลา การเล่นน้ำในอากาศเย็นๆ อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ แถวๆ นั้น ที่ๆ น่าสนใจที่สุดก็คือตัววัดเชียงคานนี่แหละครับ ทั้งภายในและภายนอกมีศิลปกรรมที่งดงามไม่น้อย เหมาะแก่การมาใช้เวลานั่งนิ่งๆ ชื่นชมความงามของตัววัด หรืออาจจะลองนั่งสมาธิดูก็ได้ เสียก็แต่ดูจะมีคนขับรถผ่านเข้ามาในวัดอยู่เป็นระยะๆ ทำให้เอาเข้าจริง สำหรับคนที่ไม่ได้มีสมาธิแข็งพอ อาจจะถือว่าไม่สงบสักเท่าไหร่ ตอนที่ผมไปถึงวัด แทบจะไม่เห็นพระเลย เลยกล้าที่จะใช้เวลาไปกับการเดินดูจุดต่างๆ เพราะดูน่าจะไม่เป็นการรบกวนผู้ใดเท่าไหร่ แถมวิวที่มองออกไปเห็นฝั่งโขงก็ค่อนข้างสวยทีเดียว และในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าแจ่มใส นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่อยากจะจดจำให้เป็นภาพที่ชัดเจนในหัวไม่น้อยเลยทีเดียว วัดนี้เป็นวัดแห่งแรกของปีใหม่ที่ผมมาทำบุญ ถวายเป็นเงินปัจจัยบำรุงรักษาวัด พระรูปหนึ่งท่านเห็นผมทำบุญ ท่านก็กล่าวกับผมว่า มาทำบุญในวัดปีใหม่จะวัดไหนก็ตามมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ผมได้ฟังท่านพูดอย่างนั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ รับคำท่าน เดินเลยไปอีกหนึ่งกิโลก็จะเจอวัดอีกวัดหนึ่ง ชื่อว่าวัดท่าแขก ซึ่งตัววัดท่าแขกเองก็มีการออกแบบที่งดงาม มีจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าถึงการเผยแพร่ศาสนาพุทธขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างเรียบง่ายแต่ก็สามารถเข้าใจได้เลยในทันที อย่างที่เห็นในภาพที่เป็นการเล่าถึงเรื่องการประสูติ,ตรัสรู้ และปรินิพานแบบครบจบในภาพเดียว ถือว่าผู้วาดมีจินตนาการไม่น้อยเลย วัดท่าแขกดูจะใกล้แหล่งชุมชุนมากกว่าวัดเชียงคานที่ต้องอาศัยการเดินเท้าหรือรถเพื่อที่จะเข้าไปให้ถึง แต่ก็จัดว่ามีความเงียบสงบในแบบของตัวเอง และเหมาะที่จะเป็นที่ปฎิบัติธรรมไม่น้อยทีเดียว อุโบสถที่เก่าแก่ก็ดูมีประวัติศาสตร์ในตัวที่น่าสนใจ ส่วนองค์พระประธานที่อยู่ภายในก็มีความทรงคุณค่าและสวยงามไม่น้อย ผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาทำบุญ ล้วนต่างมีอัธยาศัยอันดีต่อกันสมกับความเป็นชุมชุนที่อยู่ในเมืองเล็กๆ และอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าของที่พักคืนล่ะ 200 บาทของผมเคยพูดเปรยๆ ถึงวัดแห่งนี้ ว่าถ้าใครมาทำบุญแล้วขอพรที่วัดแห่งนี้ โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ ก็จะได้สมปรารถนากันทุกคน ผมไม่รู้ว่าแกอำผมเพื่อให้ทำบุญให้วัดหรือเปล่า แต่ผมก็ลองทำบุญไป ถวายเงินปัจจัยเป็นค่าน้ำค่าไฟไปตามสมควร แล้วก็ขอพรข้อที่เคยคิดไว้ข้อเดิมน่ะแหลครับ "ขอให้คนใกล้ตัวมีความสุข" หลังจากที่มาถึงที่วัดท่าแขก ผมก็รู้สึกว่าการเดินทางในช่วงเช้าคงพอแค่นี้ หาหนทางกลับที่พักที่ถนนศรีเชียงคานจะดีกว่า แล้ววันหน้าถ้าอยากจะมาแก่งคุดคู้หรือไปที่ไหนก็ค่อยว่ากันไหม แต่คราวนี้ไม่ได้เดินกลับนะครับ ขอนั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับไปจะดีกว่า ส่วนเรื่องพรที่ขอเอาไว้ที่วัดท่าแขก ก็ถือว่าเป็นจริงแหละครับ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับบุญที่ทำหรือไม่เกี่ยวก็ได้ แต่ถ้าตอนที่ทำบุญไปนั้นสบายใจ เรื่องอื่นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่า ภาพถ่ายทั้งหมดโดยณัฎฐ์ธร กังวาลไกล ผู้เขียน