พูดถึงผ้าขาวม้า เอกลักษณ์ของผ้าไทย คนรุ่นใหม่อาจจะมองว่าเชยถ้าจะนำมาตัดชุด แต่ถ้าเรารู้จักนำมาใส่ดีไซน์เพิ่มลูกเล่นและการวางลายผ้า ให้น่าสนใจ จากผ้าขาวม้าเฉยๆ กลายเป็นผ้าขาวม้านำเทรนก็ได้ใครจะไปรู้ ขอบอกก่อนว่าผ้าขาวม้ากับผ้าลายสก๊อตไม่เหมือนกันนะ ผ้าขาวม้าของไทยส่วนใหญ่จะมีขนาดโดยประมาณ กว้าง 90 ซมยาว 200 ซม.และมีเชิงผ้าทั้งด้านบนและด้านล่าง ส่วนผ้าลายสก๊อตจะเน้นเป็นผ้าม้วนใหญ่ความกว้างตามหน้าผ้าของแต่ละโรงงานที่เขากำหนดส่วนความยาวไม่มีขีดจำกัด จนหมดไม้ผ้านั่นแหละ และผ้าลายสก็อตจะไม่มีเชิงผ้า ชุดผ้าขาวม้าควรจะเล่นลายเชิงผ้าขาวม้าด้วยนะถึงจะเรียกว่าผ้าขาวม้า ผ้าขาวม้าของแต่ละที่แต่ละภาคดีไซน์และเนื้อผ้าก็ไม่เหมือนกันอีกนะ ผ้าขาวม้าในทางภาคกลางลายผ้าที่ทอจะเน้นดีไซน์วัยรุ่นออกแบบสีสันสดใส ผ้าขาวม้าทางภาคอีสาน ผ้าเนื้อจะหนากว่า ลายทอผ้าจะไม่ค่อยสดใสจะเป็นแนวพาสเทลมากกว่า โมเน่พิจารณาจากผ้าขาวม้าที่โมเน่ซื้อมาน่ะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ผ้าขาวม้า จะมีแบบราคาถูกจนไปถึงราคาแพง แบบถูกสุดก็ผืนละ 35 บาท แบบแพงสุดก็ผืนละ 250 บาทเท่าที่เคยซื้อมา ซึ่งส่วนใหญ่แบบแพงจะเป็นผ้าขาวม้าทอมือ ผ้าขาวม้ามีทั้งผ้าฝ้าย 100% มีฝ้ายผสมโพลีผ้าฝ้ายผสมผ้าสำลี ผ้าขาวม้าผ้าชีกวาง หรือผ้าเรยอง หรือผ้าขาวม้าหมักโคลนที่เขาเรียกนั่นแหละผ้ามันจะนิ่มๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปใช้งานแบบไหนประเภทไหนถ้าเอาไปเป็นของฝากของที่ระลึก เป็นผ้าฝ้ายผสมก็โอเค แต่ถ้าตัดชุดควรแนะนำจะเป็น 100% ผ้าฝ้าย 100% จะดีกว่า เพราะระบายความร้อนง่ายแต่ข้อเสียของผ้าฝ้ายก็คือจะยับง่าย ก่อนใส่ต้องรีดก่อนนะชุดผ้าขาวม้าน่ะ แต่ผ้าฝ้ายจะสวมใส่สบาย แห้งง่ายซับน้ำเหงื่อดี ส่วนผ้าขาวม้าหมักโคลนหรือผ้าขาวม้าชีกวางตัดชุดออกมาใส่สบายทีเดียวล่ะ แต่เวลาเย็บค่อนข้างจะเย็บยากสักหน่อยเพราะผ้าลุ่ยง่าย ผ้าขาวม้าหมักโคลนตัดชุดใส่แทบไม่ต้องรีดเลยเวลาเนื้อผ้าสัมผัสผิวจะลื่นเย็นสบาย โมเน่ได้ทดลองตัดและสวมใส่แล้วคอนเฟิร์มว่าใส่สบายจริงๆ สรุปข้อดีของผ้าขาวม้าก็คือ ความโดดเด่นของลวดลายผ้าขาวม้านั่นแหละ ที่มีเชิงผ้า ทั้งด้านบนและด้านล่างตรงกลางเป็นลายที่ต่อเนื่องกับเชิงผ้า ถ้านำเอามาตัดชุด บวกกับใส่ดีไซน์เก๋ๆ ชุดที่ได้ใส่ไปรับรองไม่เหมือนใครแน่นอน และบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ถ้านำเอามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่นกระเป๋า ,ตุ๊กตา ลวดลายที่ได้ก็ไม่เหมือนใครอีกเช่นกัน รูปภาพประกอบโดยโมเน่