พิสูจน์ใจคน...บนภูกระดึงได้จริงหรือ? มีคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าอยากลองพิสูจน์รักแท้ให้ไป "ภูกระดึง" ... ทำไมน่ะหรือ ? ตอนแรกเราก็สงสัยเหมือนกัน ด้วยความที่เป็นคนชอบสงสัย และอยากพาร่างกายไปรับอากาศบริสุทธิ์ ของขุนเขา สายหมอก และแสงแดด เราเลยชวนแฟน และชวนพี่สาวไปภูกระดึง พวกเราไปกัน 4 คน เพื่อไปพิชิตภูเขารูปหัวใจ กับงบคนละ 2,000 บาท โดยวางแผนกันไว้ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ และเดินทางในวันที่ 7 - 9 ธันวาคม 2562 ตรงกับช่วงวันหยุดยาวรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนวางแผนกัน เป็นช่วงที่ตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ไปพักผ่อนแล้ว แต่จะได้ไปพักผ่อนจริงหรือไม่ ตามมาดูกันเลยค่ะ พวกเราทั้ง 4 คน เดินทางออกจากจังหวัดมหาสารคามตอนเวลาประมาณ 4.00 นาฬิกา ไปถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงเวลาประมาณ 08.00 นาฬิกา ในระหว่างการเดินทางนั้น ต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็นมาก วัดได้ประมาณ 8 - 9 องศาเซลเซียส พอไปถึงภูกระดึง ก็ไปเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ดังนี้ - ค่ายานพาหนะ ราคา 20 บาท - ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท หลังจากที่เสียค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมขึ้นอุทยานกันได้เลยค่ะ และนั่นคือบทพิสูจน์แรกที่กำลังจะเริ่มขึ้น... บทพิสูจน์แรกของเรา คือ ลูกหาบหมด เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก จึงต้องแบกสัมภาระเองทั้งหมด แต่พวกเราก็ได้วางแผนกันมาแล้ว ว่าควรเอาสัมภาระมาเท่าที่จำเป็น โดยสิ่งที่เตรียมมานั้น ได้แก่ เสื้อผ้าจำนวน 3 ชุด เสื้อกันหนาว 2 ตัว ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ไฟฉายสำหรับเดินป่า ยาแก้ปวด ยาคลายเส้น แบตสำรอง สบู่ แปรงสีฟัน ยาสระผม และรองเท้าแตะ(สำหรับใส่อาบน้ำ) ส่วนเต็นท์ไปเช่าข้างบน เวลาเราเดินขึ้นเขาในระยะทางไกล ๆ และมีความชัน ถึงแม้ว่ากระเป๋าสัมภาระจะไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้เป็นตัวถ่วงน้ำหนักได้ มันสามารถพิสูจน์ความมีน้ำใจของคนรักได้ว่า "เขาจะช่วยแบกสัมภาระของเราบ้างไหม" ส่วนของเราปรากฏว่า เขาสะพายกระเป๋าให้เราจนถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวเลยค่ะ บทพิสูจน์ที่สอง คือ ในระหว่างการเดินขึ้นภูกระดึง สามารถพิสูจน์เพื่อนร่วมทางหรือคนรักได้ว่า เขาจะเดินรอเราไหม เขาจะหันหลังมาดูเราบ้างหรือเปล่า มีน้ำใจหรือเห็นแก่ตัว บางคู่เดินไม่รอกัน บางคู่ก็อาจจะเกิดการทะเลาะกันระหว่างทาง ถึงกับเลิกรากันก็มี แต่บางคู่ก็ช่วยพยุงกันและกัน ดูแลกันระหว่างทาง เพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดหมายปลายทางร่วมกัน บทพิสูจน์ที่สาม คือ การอาบน้ำบนภูกระดึง เนื่องจากบนภูกระดึงตอนช่วงที่เราไป มีสภาพอากาศที่หนาวเย็น ตอนเช้า ๆ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 1- 5 องศาเซลเซียส ในช่วงกลางวันหรือตอนสาย ๆ อุณหภูมิอยู่ที่ 9 - 10 องศาเซลเซียส ซึ่งในตอนเช้าเราต้องอาบน้ำ แต่น้ำบนภูกระดึงเย็นมาก แค่ใช้มือลองจุ่มหรือสัมผัสกับน้ำ มือก็ชาแล้ว แน่นอนว่าคงอาบไม่ได้ จึงต้องไปอาบน้ำอุ่นที่ร้านค้า ซึ่งในการอาบน้ำอุ่นต้องเสียค่าอาบน้ำ 70 บาท/ครั้ง เราอยู่บนภูกระดึง 3 วัน 2 คืน อาบน้ำ 4 ครั้ง รวมเป็น ค่าอาบน้ำ 280 บาท เขาจึงเสียสละอาบน้ำเย็น ให้เราอาบน้ำอุ่นแทน จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย (แอบสงสาร) บทพิสูจน์ที่สี่ คือ การไปเข้าห้องน้ำตอนดึก ๆ เขาปล่อยให้เราไปคนเดียวหรือไม่ ? ในช่วงเวลาประมาณ 01.00 - 03.00 นาฬิกา เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นมาก และมีลมแรงตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกปวดปัสสาวะ เราจึงรู้สึกเกรงใจเขา ไม่กล้าปลุก จึงรวบรวมความกล้า เนื่องจากเรากลัวสิ่งที่มองไม่เห็น และอุณหภูมิข้างนอกเต็นท์อยู่ที่ประมาณ 2 - 4 องศาเซลเซียส (หนาวมาก) เราจึงรีบเดินออกไปเข้าห้องน้ำเพียงคนเดียว บรรยากาศวังเวงมาก เมื่อเราทำธุระส่วนตัวเสร็จจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ เราตกใจถึงกับชะงัก เพราะเห็นร่างคนยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้องน้ำ กำลังห่มผ้าห่มนวมผืนสีขาว ยาวเกือบลากพื้น ณ เวลานั้นคือตกใจมากจริง ๆ แต่เมื่อเปิดหน้าออกมาให้เห็นชัด ๆ ถึงกับโล่งไปเลยทีเดียว แฟนเดินตามเรามา เขาไม่กล้าปล่อยให้มาเข้าห้องน้ำคนเดียว (แต่บางทีก็น่าจะบอกกันบ้าง) บทพิสูจน์ที่ห้า คือ เรารู้สึกเจ็บข้อเท้ามากจนเดินไม่ไหว ระหว่างทางที่เดินกลับจากผาหล่มสัก และตอนนั้นท้องฟ้าก็มืดแล้ว ต้องใช้ไฟฉายส่องทาง เราจึงนั่งพักและบ่นว่าเจ็บขา เพราะเกิดจากการที่เราเดินทางไกล ระยะทางจากที่พัก ถึงผาหล่มสัก ประมาณ 9 กิโลเมตร ยังไม่รวมระยะทางที่เดินกลับ ทำให้ข้อเท้ารับน้ำหนักตัวมากเกินไป เกิดการอักเสบ เขาก็นวดให้ และถามว่าไหวไหม ปรากฏว่าเขาให้เราขึ้นหลัง พอเดินไปได้สักพัก เรากลัวเขาเหนื่อย อีกทั้งต้องแบกเราด้วยคงจะหนักมาก เราจึงลงเดิน ค่อย ๆ เดินไปด้วยกัน โชคดีที่มีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นจำนวนมาก บรรยากาศจึงไม่น่ากลัว บทพิสูจน์ที่หก คือ ความหนาวเย็น ขากลับจากผาหล่มสัก ท้องฟ้าเริ่มมืด สภาพอากาศก็หนาวเย็น อุณหภูมลดลงอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ประมาณ 8 - 10 องศาเซลเซียส เราเป็นคนมือเย็นมาก และเป็นคนขี้หนาว ส่วนเขาเป็นคนมืออุ่น ถึงแม้สภาพอากาศจะหนาวเย็น แต่มือก็ยังคงอุ่น เขาจับมือเราแล้วยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว อีกมือหนึ่งก็ถือไฟฉายส่องทางให้ จนมาถึงที่พัก บทพิสูจน์ที่เจ็ด คือ รอยยิ้มจากความยากลำบาก ของเพื่อนร่วมทางและคนที่เรารัก ความลำบากในการเดินทางและการเดินป่า อาจทำให้ผู้คนเหน็ดเหนื่อย ซึ่งจะแสดงออกทางสีหน้าและแววตา ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน แต่การไปภูกระดึงครั้งนี้ ฉันได้รับรอยยิ้มจากเพื่อนร่วมทาง จากคนรัก รวมถึงรอยยิ้มจากคนแปลกหน้า ที่ต่างคนต่างมา บ้างก็มาจากกรุงเทพ ฯ บ้างก็มาจากภาคใต้ บ้างก็มาจากภาคเหนือ แต่พวกเราก็มีจุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกัน รอยยิ้มเหล่านั้นมันทำให้ฉันได้รับกำลังใจ รู้สึกหายเหนื่อย นอกจากรอยยิ้มแล้ว เรายังได้สนทนากับคนแปลกหน้าอยู่ตลอดทาง บทสนทนานั้นคือ "ใกล้ถึงหรือยังคะ" ก็จะได้ยินเสียงตอบรับกลับมาว่า "ใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว สู้ ๆ นะ" พวกเราจึงได้มิตรภาพระหว่างทางมาด้วย บทพิสูจน์ที่แปด คือ เป็นคนรอที่ดีและเป็นตากล้องที่ดี เวลาเจอธรรมชาติสวย ๆ เราก็อดใจไม่ได้ที่จะเก็บบันทึกภาพสวย ๆ เอาไว้ ถ้าเป็นบางคู่ เดินไม่รอเลยก็มี แต่สำหรับบางคู่ ไม่ว่าจะหยุดเก็บภาพนานแค่ไหนก็หยุดรอ เห็นอะไรสวย ๆ ก็ชี้ให้ดู และบางครั้งก็ผลัดกันถ่ายภาพให้กัน บันทึกไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาที่นี่ด้วยกัน บทพิสูจน์ที่เก้า คือ อาหารและความหิว แน่นอนว่าการเดินทางไกล ทำให้ร่างกายเสียพลังงานไปมาก ในเส้นทางที่เราเดิน ร้านค้าก็จะอยู่ห่างกันมาก ถึงแม้ทุกคนจะหิวข้าวกันมากแค่ไหน แต่เสบียงที่ตุนไว้ มีน้อย เนื่องจากไม่อยากพกมาเยอะ กลัวหนัก บางครั้งน้ำดื่มเหลือน้อย เขาก็เสียสละให้เราเป็นคนดื่ม พี่สาวมีขนมก็แบ่งปันเรา มีอะไรก็แบ่งปันกัน มันทำให้เรารับรู้ถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกัน ส่วนค่าอาหารบนภูกระดึงนั้น ก็จะมีราคาแพงกว่าปกติ เพราะต้องใช้ลูกหาบขนของขึ้นมาขายอย่างยากลำบาก มาถึงตอนนี้เราก็คงจะพอทราบกันแล้วว่าเราได้อะไรจากการมาที่นี่ หลายคนที่สงสัยว่า จะไปให้เหนื่อยกันทำไม ก็คงได้รู้คำตอบกันแล้ว การมาภูกระดึงครั้งนี้ ทำให้เราคลายความสงสัยได้แล้วว่า ทำไมจึงสามารถพิสูจน์ใจคนได้ เพราะแต่ละก้าวที่เราเดิน ทุกเส้นทางที่เราไป ล้วนเป็นบทพิสูจน์เพื่อนร่วมทางว่าเขาเป็นคนแบบไหน นิสัยอย่างไร จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมบางคู่ลงมาถึงทะเลาะกัน เลิกกัน แต่บางคู่ก็รักรักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และได้รักกันตลอดไป บางคู่ก็ได้ขึ้นไปพิชิตภูกระดึงด้วยกันอีกหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงคู่ของพี่สาวเราค่ะ พี่สาวเราเจอกับแฟนบนภูกระดึง และได้ขึ้นไปพิชิตภูกระดึงด้วยกันเป็นครั้งที่ 3 แล้ว... สุดท้ายนี้ เราอยากบอกกับทุกคนว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้ายังไม่ได้ลอง" เครดิตภาพถ่ายโดยผู้เขียน