ภูกระดึง หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตโรคระบาดโควิด -19 ที่ทำให้ใครหลายๆ คน อัดอั้นมานานและอยากจะออกไปผจญภัยตามป่าตามเขา ในช่วงปลายฝนต้นหนาว เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่อัดอั้นมานาน แต่ด้วยภาระต่างๆ ทำให้เราได้ช่วงเวลาที่ลงตัวสำหรับเรา ในวันที่ 6-9 ธันวาคม 2564 กับการเข้าร่วมกลุ่มหนึ่งในเพจ Facebook ทำให้เราอยากที่จะไปลองเดินและอยากจะเป็นผู้พิชิตภูกระดึงกับเค้าบ้าง ปีนี้ อช.ภูกระดึง มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปกันเยอะมาก ยิ่งช่วงเทศกาลคนจะเยอะมากๆ จนลูกหาบไม่เพียงพอ นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเลือกช่วงเวลานี้ เพราะจะได้เจอคนไม่เยอะเกินไป เราทำการจองวันเข้า อช.ภูกระดึง ผ่านแอพ Queq วันที่ 7-9 ธันวาคม 2564 จองเครื่องนอนผ่านเว็บไซต์ของอุทยาน ส่วนเต็นท์หมด (ไว้ไปหาหน้างาน)วันที่ 6 ธันวาคม 2564 เราเริ่มเดินทางออกจาก กทม. ทางรถยนต์ เวลาประมาณ 7.30 น. ขับไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวกังหันลมเขายายเที่ยง นครราชสีมา แวะถ่ายรูป ทานมื้อเช้าผสมมื้อเที่ยงกันที่นี้ อากาศเย็นทีเดียวจากนั้นก็ขับไปเรื่อยๆ จนถึงภูป่าเปาะเมืองเลย เวลาประมาณ 16.30 น. นั่งรถอีแต๊กชาวบ้าน คนละ 60 บาท ใช้เวลาเที่ยวชมประมาณ 30-60 นาทีหลังจากลงมา ก็เข้าที่พัก ณ บ้านทอไหม อยู่ห่างจาก อช.ภูกระดึง ประมาณ 4 กม. ราคาคืนละ 600 บาท และออกมาหาอะไรทานมื้อเย็นบริเวณตลาดเล็กๆ ซึ่งเลยไปจากที่พักไม่ไกล เมื่ออิ่มทองแล้วก็เข้าที่พักเอาแรง เพื่อที่จะออกไป อช.ภูกระดึง ในเวลา ตี 5 ของเช้าอีกวันวันที่ 7 ธันวาคม 2564 เมื่อเรามาถึงทางเข้า อช.ภูกระดึง ให้ลงไปซื้อตั๋วค่าเข้า อช. คนละ 40 บาท ค่าพาหนะ 30 บาท เมื่อเข้ามาแล้วที่จอดรถค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว จากนั้นรีบลงไปที่อาคารหมายเลข 4 ก่อนเลย เพื่อไปทำการจองลูกหาบก่อน เพราะไม่อยากหาบเอง กลัวไม่ไหว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มา เค้าจะเริ่มให้ซื้อบัตรสัมภาระตอนประมาณ 6 โมงเช้า เขียนชื่อ เบอร์ ชั่งน้ำหนักกิโลกรัมละ 30 บาท เมื่อได้ลูกหาบแล้วก็สบายใจ แต่สำหรับใครมาหลายคนก็ให้แบ่งคนไปแต่ละจุด ลงทะเบียนคน จองเต็นท์คน จองลูกหาบคน จะได้ไม่เสียเวลาสำหรับขั้นตอนการลงทะเบียน 1.ลงทะเบียนสำหรับคนที่ลงผ่านแอพ Queq และ walkin 2. ไปจองเต็นท์ สำหรับใครจองเครื่องนอนก็จองผ่านระบบมาได้ 3.ไปซื้อประกันคนละ 10 บาทเผื่อฉุกเฉิน 4. แจ้งผลการฉีดวัคซีน สำหรับใครยังไม่ได้ฉีด ก็ไปตรวจ ATK ก่อน จะมีชุดตรวจให้ แจ้ง จนท. ได้เลย เมื่อขั้นตอนเรียบร้อยก็ไปหามื้อเช้าทานก่อนขึ้น เดี๋ยวจะไม่ไหว ซึ่งด้านล่างจะมีร้านอาหาร เครื่องดื่มบริการอยู่ จากนั้นก็ไปจุดเริ่มเดิน ลงชื่ออีกรอบ ส่งบัตรผ่านการตรวจโควิด และขึ้นภูกันเลยเราเริ่มเดินประมาณ 8 โมง ถึงซำแฮกก็จัดแตงโมก่อนเลย 10 บาท ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกมีพร้อม จากนั้นก็เดินต่อ ด้วยความที่ไม่มีสัมภาระมาก ทำให้เดินได้ในระดับที่พอใจและสบายใจ เพราะได้ลูกหาบ 555 แวะกินแวะพักทุกซำเลยจ้าเดินๆ กินๆ พักๆนับถือใจลูกหาบ และร่างกายของพวกเค้าจริงๆ ลูกหาบไม่ได้มีแต่ผู้ชายหนุ่มๆ คนแก่ก็มี ผู้หญิง เด็กผู้ชาย นอกจากสัมภาระที่หนักอึ้งแล้ว ยังแบกภาระความหวังของครอบครัวไว้ด้วยถ้าเห็นบันไดลิง แสดงว่าอีกไม่ไกล (ทนไว้)แล้วเราก็เดินกันมาเรื่อยๆ ประมาณ 5.5 กม. จนถึงจุดที่ใครหลายๆ คนคงได้ใจชื้นกันมาบ้าง นั้นคือ ป้ายผู้พิชิตภูกระดึง แต่เราไม่ได้ถ่ายมา เพราะรีบวิ่งไปดูต้นเมเปิล เจ้าต้นเมเปิลแดง หลังแป ที่เริ่มจะแดงทั้งต้นแล้ว เมื่อถึงตรงนี้ยังต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 3 กม. เพื่อไปจุดกางเต็นท์ซึ่งเป็นทางราบ ระหว่างทางจะมีต้นสนที่โดนไฟไหม้ไปเมื่อหลายปีก่อนอยู่ให้เห็นเดินผ่านความร้อนกันมาสะพัก ก็เจอแล้ววว จุดกางเต็นท์ ดีใจ จากนั้นก็ไปติดต่อเต็นท์ ที่นอน และเดินหาเต็นท์ ส่วนลูกหาบยังไม่มา ระหว่างนั้นก็ไปหาข้าวกิน แนะนำว่าควรมีชุดอาบน้ำสำรองติดตัวสักชุด จะได้อาบน้ำรอลูกหาบ เพราะบ่ายๆ อาบน้ำกำลังดี จะได้ไม่ต้องเจอน้ำเย็นในช่วงค่ำ แต่ถ้าใครอยากอาบน้ำอุ่น ก็มีร้านให้บริการ ครั้งละ 100 บาท แต่ช่วงค่ำๆ เค้าจะไม่ค่อยให้อาบกัน เพราะต้องใช้แก๊สและไฟ ในการทำอาหารหลังจากกินข้าว อาบน้ำแล้ว ลูกหาบก็ยังไม่มา ก็เลยเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่พอไปถึงแล้ว ไหนๆ ก็เดินมาแล้วเลยบวกกับความห้าว เลยตัดสินใจเดินต่อไปเรื่อยๆ เส้นหน้าผาจนถึงผาหล่มสัก ประมาณ 9 กม. โดยการเดิน แต่ปกติแล้วชาวบ้านเค้าจะเช่าจักรยานกันมา เมื่อถึงผาหล่มสักพระอาทิตย์กำลังจะตกดินพอดี ทำให้เราต้องรีบเดินกลับจากผาหล่มสัก โดยกลับเส้นทางเดิมอีก 9 กม. ซึ่งขากลับนี้อากาศเริ่มหนาวเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืด เริ่มต้องมีการใส่เสื้อผ้าหนาๆ และใช้ไฟฉาย ระหว่างนั้นลูกหาบเริ่มโทรมาตามให้ไปเอาสัมภาระ พอบอกว่าเพิ่งออกจากผาหล่มสัก พี่ลูกหาบแอบตกใจเล็กน้อย บอกว่าถึงละโทรมานะค้าบบ ตอนขามาเดินสบาย แต่ขากลับเริ่มเจ็บละ ยิ่งพื้นเป็นทรายด้วย เดินลำบากไปอีก เดินจนมาทันน้องๆ กลุ่มหนึ่ง แอบดีใจอย่างน้อยมีเพื่อนเดิน จนมีขบวนรถจักรยานผ่านไป คิดในใจเอาเราไปด้วยยยย จนประมาณ 20.00 น. ถึงเต็นท์ก็รีบไปรับสัมภาระกับลูกหาบ ที่ดูเหมือนจะพักผ่อนเอาแรงไปแล้ว ต้องเอ่ยขอโทษกันเลยทีเดียว แหะๆ จากนั้นก็โยนสัมภาระเข้าเต็นท์และไปหาหมูกระทะกิน หลังจากอิ่ม พอจะลุกเดินเท่านั้นแหละ รู้เรื่อง!! เดินเป๋มากก อาการเจ็บเท้า ข้อต่อ ต่างๆ เริ่มมา อากาศก็เย็นพร้อมกับเสียงโอดโอย ไปถึงเต็นท์ จนต้องอัดยาหนักๆ แถมลุกเข้าห้องน้ำก็บ่อย กว่าจะได้นอน ตีสาม เช้ามาใครลุกไปดูพระอาทิตย์ไหวไปก่อนเลยจ้า ท้องฟ้าเริ่มมืด ต้องรีบเดินกันแล้วววเช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ด้วยความที่เมื่อวานเดินไปเกือบ 30 กม. เป็นไปตามคาดวันนี้เดินไม่ไหว เลยต้องปรับเปลี่ยนแผน นอนพักเอาแรงจนถึงประมาณ 9 โมง ออกไปจองคิวลูกหาบขาลง และออกไปหามื้อเช้ากิน และเช่ารถจักรยานล้อโต คันละ 410 บาท เพื่อทุ่นแรงในการเดิน เซฟข้อเท้าไว้ลงภูในวันพรุ่งนี้ วันนี้เราจะปั่นไปดูน้ำตก แต่คงไม่ทั่ว เพราะมีบางจุดที่ต้องจอดรถจักรยานแล้วลงเดิน เมื่อพอลองเดินแล้ว รู้เลยว่า ถ้าแวะทุกจุดไม่ไหวแน่ เลยแวะลานพระ น้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งตอนไปต้นเมเปิลยังไม่แดง เลยยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ ใจหนึ่งอยากไปน้ำตกสอเหนือ แต่คงไม่ไหว เลยปั่นกลับเส้นทางหน้าผาเหยียบเมฆ ผานาน้อย สระแก้ว ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จนเจ้าหน้าที่เสียดายที่ปั่นไม่คุ้ม แต่พวกหนูไม่ไหวแล้ว 555 เมื่อคืนรถจักรยานแล้ว กะว่ากินมื้อบ่าย และนอนพักเอาแรงที่เต็นท์ ที่ไหนได้ เดินหาของกินรอบบริเวณเต็นท์น่าดู กว่าจะได้พักเท้า โน่นนน เกือบ 5 โมงเย็น พักไปชั่วโมงนึง ก็ออกมาหาไรกินต่อ พร้อมอัดยาแน่นๆ และยาแก้แพ้จะได้นอนหลับสบาย เพื่อที่เช้าจะได้ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานางแอ่นมื้อเย็นเราออกมากินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ และได้เจอเจ้าถิ่นมาถึงโต๊ะอาหารอย่างใกล้ชิดวันที่ 9 ธันวาคม 2564 เนื่องจากเมื่อวานเราเซฟแรงไว้พอควร เช้านี้ตื่นตี 5 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานางแอ่นเนื่องจากหน้าหนาว ทำให้ไม่มีทะเลหมอก ถ้าอยากเจอทะเลหมอก ต้องมาช่วง ตุลาคม ปลายฝนต้นหนาว บริเวณนี้ จนท.มีกาแฟ โอวัลตินร้อนๆ ขายด้วย ใครจะเอามาม่ามาขอเติมน้ำก็ได้นะ ส้วมก็มี 555 จากนั้นก็เดินกลับมาเต๊นท์เก็บของและซื้อบัตรสัมภาระ ไปไวยิ่งดี จะได้รับกระเป๋าเร็วๆ จากนั้นเก็บเครื่องนอนต่างๆ คืนเจ้าหน้าที่ และหามื้อเช้ากิน และเดินลงประมาณ 8 โมงเช้า พร้อมกับอาการเจ็บขาที่เริ่มมาละ วันนี้ขาลง เมเปิลเริ่มแดงทั้งต้นแล้วนะค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับไม้ค้ำ (โคตรดีอ่ะ 555) เวลาเที่ยงครึ่งก็ถึงด้านล่าง อย่าลืมคืนไม้ค้ำกันนะ แต่ปรากฏว่าลูกหาบยังไม่มา เลยไปหาอะไรกิน และนั่งรอ จนบ่ายสองครึ่ง ลูกหาบจึงมา ก่อนออกก็ไปปั๊มตราอุทยาน ที่นี้มีตราปั๊ม 2 อันนะ เราพลาดที่ไม่ได้เอาสมุดประทับตราไปข้างบน เลยอดได้ตราปั๊มผู้พิชิต งอแงงง จากนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 ก็เดินทางกลับ กทม. ขากลับแวะปั๊มตราประทับที่ อช.ภูผาม่าน ถึง กทม. ประมาณ 20.30 น. ค่าใช้จ่าย 2 คน ตกคนละประมาณ 4,000 บาท.....ครั้งหน้าคงต้องมาซ่อม เดินปั่นตามรูทที่เค้าทำกัน 555ภาพถ่ายโดย : Augustyอัปเดตบทความท่องเที่ยวตามสถานที่อันหลากหลาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !