ขับรถออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่หัวค่ำ โดยมีเป้าหมายในการเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 500 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาไปกว่า 9 ชั่วโมง เนื่องจากจำเป็นต้องมีการแวะจอดตามปั๊มน้ำมัน เพื่อเข้าห้องน้ำ และเปลี่ยนอริยาบถบ้าง รวมถึงการเปลี่ยนมือขับกับเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วย เพื่อไม่ให้ง่วงเสียเกินไป จนอาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางได้ ในทีสุดก็มาถึงลานจอดรถของ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ดูนาฬิกายังเพิ่งตีสามกว่าๆ และเจ้าหน้าที่บอกว่าจะเปิดให้เดินขึ้นภูได้ก็ประมาณสว่าง เลยของีบเอาแรงซัก 1-2 ก่อน เสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือทำงานขึ้นในเวลา 5:30 รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่กระปรี้กระเปร่าเล็กน้อยภายหลังได้พักสายตาไปประมาณ 2 ชั่วโมง ล้างหน้าล้างตาเพิ่มความสดชื่นอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หยิบสัมภาระ เดินไปติดต่อจ่ายค่าธรรมเนียมการขึ้นอุทยาน และติดต่อประสานงานเพื่อจ้างลูกหาบให้ช่วยแบกสิ่งของที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ระหว่างการเดินขึ้นภู เนื่องจากสิ่งของเหล่านั้นดูจะเกินกำลังเดินไปถ้าจะต้องแบกด้วยตัวเองในเส้นทางเดินขึ้นภูกระดึงด้วยระยะทางรวมประมาณ 5 กิโลเมตร ค่าจ้างลูกหาบก็ไม่แพงอะไรมากนัก แค่ 30 บาทต่อกิโลกรัม พอฟ้าเริ่มสางเจ้าหน้าที่ก็อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นภูได้ การท้าทายการเดินทางขึ้นภูของนักท่องเที่ยวก็เริ่มขึ้น ทุกคนมีสีหน้าที่สดชื่น ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินขึ้นภู มองไปรอบๆก็พบว่านักท่องเที่ยวที่มานั้นมีครบทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กๆ 8-9 ขวบ ไปจนคนแก่ 60-70 ก็เห็นมี ทุกคนออกก้าวเดินขึ้นภูไปพร้อมเพรียงกัน เด็กๆส่งเสียงกันสนุกสนานระหว่างเดินทางขึ้น เส้นทางเดินขึ้นภูกระดึง จากที่ทำการอุทยานด้านล่าง ไปจนถึงลานกางเต๊นท์ข้างบนนั้นมีระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นเส้นทางขึ้นเขาประมาณ 5 กิโลเมตร และหลังจากนั้นเดินบนทางราบบนภู อีกประมาณ 4 กิโลเมตร แน่นอนเส้นทางที่สร้างสีสันให้ได้จดจำกันก็คงจะเป็นเส้นทาง 5 กิโลเมตรที่เดินขึ้นเขา เส้นทางถูกแบบออกเป็นช่วงๆ บางช่วงก็ไม่ลาดชันมากนัก แต่บางช่วงก็สูงชันจนต้องออกแรกเหนื่อยกันทีเดียว แต่ละช่วงจะมีจุดพักมีชื่อเรียกเป็น "ซำ" ต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็เห็นจะเป็น "ซำแฮก" ที่แต่ละคนพอขึ้นมาถึงก็หอบแฮกตามชื่อกันทีเดียว แต่ก็สามารถนั่งพักหาเครื่องดื่มหรืออาหารกินเพื่อให้คลายความเหนื่อยล้าก่อนเดินทางกันต่อได้ ช่วงขึ้นเขานั้นจะใช้เวลากันประมาณ 2-4 ชั่วโมง แล้วแต่ความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคน หลังจากนั้นก็จะถึงจุดที่เรียกว่า "หลังแป" จุดนี้เป็นจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่จะต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" เพื่อแสดงความสำเร็จของตนเองที่พาร่างกายผ่านบททดสอบขั้นต้นของภูกระดึงแห่งนี้ จากจุดนี้จะเป็นพื้นราบขนาดใหญ่บนยอดภูเขาแห่งนี้ ซึ่งมีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ในยิ่งนักคือ ถ้าเราดูพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงแห่งนี้ในมุมสูงจะพบว่าพื้นที่ราบแห่งนี้มีลักษณะเป็นรูป "หัวใจ" หลายคนจึงเรียกภูกระดึงว่า "ภูเขารูปหัวใจ" จากหลังแปเดินทางราบต่อไปอีก 4 กิโลเมตร ก็จะเป็นที่ทำการอุทยานด้านบน ซึ่งเป็นที่สำหรับกางเต๊นท์ ใครที่มีเต๊นท์มาเองก็ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อหาที่กางเต๊นท์ ส่วนใครที่ไม่มีเต๊นท์เองก็สามารถติดต่ออุทยานเพื่อเช่าเต๊นท์ของอุทยานได้(ต้องติดต่อล่วงหน้าก่อนมาถึง) สำหรับอุปกรณ์เครื่องนอนอื่นๆ พวกหมอน ผ้าห่ม ไม่จำเป็นต้องเอามาเอง ที่ทำการมีบริการให้เช่าในราคาที่ไม่แพงนัก ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็ไม่ต้องกังวล มีร้านอาหารให้บริการขายอยู่อย่างพอเพียง ที่ยอดนิยมหน่อยก็เห็นจะเป็นหมูกระทะ ที่นักท่องเที่ยวจะนิยมสั่งกินเพื่อคลายหนาวกัน อากาศที่นี่จะเย็นสบาย จนถึงหนาว ตลอดทั้งปี (ที่มีการเปิดให้ขึ้นมาเที่ยว) ดังนั้นก่อนมาก็ควรเช็คสภาพอากาศและจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม การเที่ยวด้านบนภูนั้นเป็นการเดินเที่ยวตามทางราบสลับเนินเขาเตี้ยๆบนภู ซึ่งถ้าเราผ่านเส้นทางขึ้นภูมาได้ การเดินเที่ยวบนนี้คงไม่เป็นปัญหาใหญ่ หรือถ้าใครอยากจะปั่นจักรยาน ทางอุทยานก็มีจักรยานให้เช่าแต่ก็มีจำนวนจำกัด ก็ต้องรีบไปจับจองกันให้ทัน สถานที่เที่ยวยอดนิยมบนภูก็มีอยู่มากมาย แต่ที่นิยมๆกันจะเป็น ผานกแอ่น ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า น้ำตก ไปตามใบเมเปิ้ลแดง สระอโนดาต บึงน้ำขนาดใหญ่บนยอดภู ผาหมากดูด จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ผาเหยียบเมฆ จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ผาหล่มสัก จุดถ่ายรูปยอดนิยมและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของภูกระดึง แต่ละจุดนั้นจากจุดกางเต๊นท์อาจจะอยู่ไกลบ้าง ใกล้บ้าง ไกลมากๆบ้าง แต่ตลอดเส้นทางที่เดินทางไปเที่ยวนั้น ธรรมชาติสองข้างทางจะทำให้เราเพลิดเพลินจนอาจจะลืมเรื่องของความไกลไปได้ทีเดียว สำหรับระยะเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวภูกระดึงของแต่ละคนนั้นอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคนว่า ในแต่ละวันจะสามารถเดินเที่ยวได้ไกลแค่ไหน ทางที่ดี ก่อนเดินทางไปเที่ยวภูกระดึงควรศึกษารายละเอียดของระยะทางเดินเที่ยวแต่ละจุดให้ดี แล้วประเมินร่างกายตัวเองดูว่าในแต่ละวันจะสามารถเที่ยวได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจึงวางแผนว่าจะมาเที่ยวภูกระดึงกี่วันถึงจะเที่ยวได้ทั่ว แต่ถึงการมาเที่ยวในแต่ละครั้งจะไม่สามารถเที่ยวได้ทั่ว แต่เสน่ห์ของภูกระดึงจะดึงดูดให้ต้องกลับมาอีกครั้ง ซึ่งแม้แต่คนที่สามารถเดินเที่ยวได้ทั่วแล้วก็ยังหลงมนต์เสน่ห์ และต้องหาโอกาสกลับมาเที่ยว ภูเขารูปหัวใจ แห่งนี้อีกครั้งให้ได้ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน