การมาภูกระดึงครั้งนี้เหมือนว่าตัวเองมารอพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าทางทิศตะวันออก.. และเดินทางทั้งวันเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก ทริปภูกระดึงครั้งนี้เรามีเพื่อนร่วมทางไปด้วยหนึ่งคน ระหว่างทางที่เดินขึ้นภู จะต้องผ่านซำทั้งหมด 7 ซำ ( เพราะเป็นจุดที่มีอาหารเครื่องดื่มขาย ) เราสองคนคุยกันน้อยมาก ด้วยการเดินแต่ละครั้งมันเหนื่อย ระยะทางหลายกิโล เหมือนเราก็ต่างรู้นะว่าที่เงียบอยู่คือกำลังทำให้ตัวเองเหนื่อยน้อยที่สุด จะได้มีแรงเดินอีกนานๆ แต่ก็ยังพอมีการคุยกันอยู่บ้าง พอคนนี้คุยอีกคนก็ตอบกลับจังหวะไหนที่เหนื่อยเหมือนกันก็เงียบกันไป เรื่องเซอร์ไพรซ์แรกคือการที่เราเพิ่งรู้ว่า พอเดินขึ้นไปถึงหลังแปลแล้ว ( จุดถ่ายรูปที่มีป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ) คือเรายังไม่ถึงจุดกลางเต้นท์ เราต้องเดินต่อไปอีก แต่การเดินต่อนี้เป็นพื้นราบแล้ว ไม่ต้องเอาแรงไปแข่งกับความชันแล้ว กว่าจะถึงจุดกลางเต้นท์ใช้เวลาเดินเท้าขึ้นมา 7 ชั่วโมง ถึงที่พักตอนบ่าย อากาศนั้นเย็นพอๆกับตอนเช้าก่อนที่จะขึ้นภู การเดินผ่านแต่ละซำนั้นจะมีอาหารเครื่องดื่มขายให้นักท่องเที่ยวแวะซื้อพอหายเหนื่อยหายกระหาย อย่าดื่มน้ำอัดลมนะ เป็นคำแนะนำจากเรา😅😅เพราะมันจะทำให้เราเสียเงินซื้อน้ำบ่อยมาก ดื่มน้ำเปล่าจะรู้สึกอิ่มและหายกระหายมากกว่า จากที่เราสังเกตราคาอาหารเครื่องดื่มนั้นจะมีราคาไม่เท่ากันในแต่ละจุดซำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เลยว่า ยิ่งระยะทางไกลขึ้นราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามความเหนื่อย นอกจากจะคิดถึงต้นทุนกำไรแล้วการเอาของขึ้นไปบนภูกระดึงแบบนี้ต้องคิดค่าแรงด้วย😉😉😉ข้างบนภูไม่มีตู้กดเงินอัตโนมัตินะทุกคน เราต้องเตรียมเงินสดไปตั้งแต่ก่อนขึ้นภูเลย ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น เป็นภาพที่ไม่ได้แต่งสีอะไรเลย ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นสีม่วงมากกว่านี้ จำความรู้สึกตอนเช้าที่ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย อากาศที่ผานกแอ่นเย็นมาก ระหว่างที่นั่งรอ ลมเย็นๆก็พัดผ่านหลังไปเรื่อยๆ มือสั่น ตัวสั่น จมูกเย็นแล้วก็เห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาศมานั่งทำอะไรแบบนี้ มันเป็นเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย ความเครียดความกังวลไม่มีแว๊ปเข้ามาเลย ชอบบ จังหวะที่เริ่มเห็นดวงกลมๆโผล่พ้นเมฆหน่อยๆ ความรู้สึกตอนแรกคิดว่า ที่ๆจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มีคนเยอะๆ จะสวยรึเปล่า? พอถึงเวลาจริงๆ ตอนที่รอดูพระอาทิตย์ขึ้น มันก็มีแค่การโฟกัสที่ท้องฟ้าอย่างเดียว คนรอบตัวไม่มีผลหรอกจะมากจะน้อย ถึงคนจะเยอะแต่บรรยากาศมันได้อยู่นะ ข้างบนภูนั้นมีอะไรให้เดินปล่อยความเหนื่อยอีกเยอะเลยย ระหว่างทางที่จะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็น ผ่านป่า ผ่านน้ำตก ผ่านบ่อน้ำ หลายคนอาจจะหาข้อมูลมาว่ามีใบเมเปิ้ลสีแดงตรงน้ำตกข้างบน ร่วงหล่นตรงโขดหิน จังหวะที่เราไป เป็นช่วงปลายธันวาคมมันไม่มีร่วงให้เห็นเลยอะ น้ำตกก็แห้งด้วย แล้วจังหวะที่ดูพระอาทิตย์ตกนะทุกคน ทุกคนต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับจากจุดดูถึงที่พักให้ไม่ดึกไปนะ ( เรากับเพื่อนขี่จักยานไม่เป็น เลยไม่ได้เช่าจักรยานไว้ขี่ด้านบนภู ) ใช้เวลาเดินนานมากก ออกจากจุดชมพระอาทิตย์ตกตอนหกโมงเย็นกว่าๆ ถึงเต้นท์นอนตอนสี่ทุ่ม ด้วยเพราะเพื่อนเราขาเจ็บด้วยจากการเดินทั้งวัน ตอนนั้นเป็นบรรยากาศที่ทั้งเหนื่อย ง่วง กังวลแล้วก็กลัวปนกันไปหมด ช่วงนึงที่เดินกลับที่พักมันเป็นเหว ก็ต้องเดินไม่ให้ใจลอย😅😅กลัวว่าจะเซจนตกเหว เหมือนคนอื่นเค้ามาเป็นกลุ่มๆ จังหวะที่เราเดินทันกลุ่มข้างหน้าหรือกลุ่มด้านหลังเดินทันเรา ตอนนั้นเราเองมีความรู้สึกอุ่นใจมากกว่ากลัวคนจะมาทำอะไรไม่ดีนะ ไฟส่องสว่างข้างทางมีให้เห็นบ้างและก็ทิ้งระยะห่างพอควร เราควรมีไฟฉายเล็กๆติดไปสักคนละอันนอกจากไฟจากโทรศัพท์นะ😉😉 การเดินกลับไปที่พักทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ถ้าได้มีโอกาสมาภูกระดึงอีกเราคงจะไม่มาคนเดียวหรือสองคนอะ ความรู้สึกตอนนั้นเรามีความคิดว่าถ้าเพื่อนๆของเรามากันมันคงสนุกกว่านี้ ไม่ใช่ครั้งนี้ไม่สนุกนะเพราะมันคนละฟิลกัน สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราเล่ามานั้น อาจจะไม่ได้เป็นการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวสักทีเดียว บางสิ่งบางอย่างเราอาจจะพลาดไม่ได้เจอ เมื่อคุณไปอาจมีโอกาสได้เห็น บรรยากาศบนภูกระดึงบางความรู้สึก เราอาจจะไม่ได้รับรู้ แต่คุณอาจจะสัมผัสกับมันก็ได้.. มีความสุขกับการท่องเที่ยวนะคะ ☺☺☺จากการเดินทาง ☺☺☺ภาพทั้งหมดโดย Merrqriกำลังหาที่เที่ยวหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !