วันนี้ผู้เขียนจะพานักอ่านไปเที่ยวจังหวัดหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์มากที่สุดในภาคอีสาน นั่นก็คือ จังหวัดเลย จังหวัดเลยถือเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน เพราะเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศเอื้ออำนวยให้ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ความสวยงามอย่างหลากหลาย ทั้งภูเขา แม่น้ำ น้ำตก อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวกำเนิดใหม่ที่มุษย์สร้างขึ้นอย่างถนนคนเดิน และวัดวาอารามที่วิจิตรงดงามอีกหลายแห่ง ผู้เขียนจะพาไปติดตามทริปเล็ก ๆ ที่เคยเดินทางไปเที่ยวจังหวัดแห่งนี้กับครอบครัว เมื่อไม่นานมานี้ เป็นทริปที่ใช้เวลาในการท่องเที่ยวเพียงแค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น แต่บอกเลยว่าทริปเล็ก ๆ ทริปนี้ไปได้หลายที่อย่างคุ้มเลยทีเดียว ขอบอกก่อนว่าการเดินทางเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวทุกที่ที่จะพาไปในวันนี้ สะดวกสบายมาก เราสามารถค้นหาเส้นทางจาก GPS ได้อย่างง่ายดาย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเลยทั้งนั้น เริ่มต้นกันที่แหล่งท่องเที่ยวจุดแรกที่เราไปถึง นั่นก็คือ สวนหินผางามหรือคุณหมิงเมืองไทย ตั้งอยู่ที่บ้าน ผางาม หมู่ 10 ตำบลปวนพุ กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย เมื่อเข้าสู่เขตของสวนหินผางาม เราจะเจอกับหินตั้งรูปทรงสวยงามแปลกตา ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ มีการตกแต่งพื้นที่ให้มีความสวยงามเข้ากับบรรยากาศ ให้กับนักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปสวย ๆ ไว้อวดเพื่อนใน Social หลายจุด หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งรถไถขึ้นไปยังด้านบนของสวนหินผางาม ระยะทางในการนั่งรถไถไม่ไกลนัก แต่ความสนุกตื่นเต้นไม่ได้น้อยเหมือนระยะทางเลย เด็ก ๆ สนุกกับการนั่งรถครั้งนี้อย่างมาก รถจอดบริเวณทางขึ้น เราต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกไม่ไกล แต่เหนื่อยน่าดู เพราะทางชันมาก เมื่อขึ้นไปเห็นบรรยากาศด้านบนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เรายืนอยู่บนลวดตาข่ายที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา รอบ ๆ คือภูเขาหินที่สวยสดงดงามมาก สมกับชื่อที่ที่เขาเรียกว่าคุณหมิงเมืองไทยเลย เราเดินชมวิวด้านบนโดยรอบ แทบจะทุกจุด ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกอย่างจุใจ สถานที่แห่งนี้สร้างความประทับใจให้เราไม่รู้ลืมเลย ก่อนจะเดินทางกลับเราไม่ลืมที่จะแวะซื้อของที่ระลึกของที่นี่ติดไม้ติดมือไปด้วย เราออกจากสวนหินผางามไทยไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เพื่อไปเที่ยวน้ำตกถ้ำเพียงดิน ใครที่มาเที่ยวสวนหินผางามแล้วไม่แวะเข้าไปที่น้ำตกเพียงดิน ถือว่า พลาดมาก เพราะระยะทางห่างกันแค่นิดเดียว ความงดงามของน้ำตกเพียงดินที่เราเจอนั้น บอกเลยว่า น้ำตกแห่งนี้สวยงามปานภาพวาด แค่นั่งมองสายน้ำที่ตกลงมาไม่ขาดสายกับบรรยากาศเย็น ๆ รอบ ๆ บริเวณปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ก็มีความสุขแล้ว เสียดายมากในวันที่เราเดินทางไปฝนตกปรอย ๆ ทำให้ไม่อยากลงเล่นน้ำ เพราะอากาศมันหนาวเย็น เราได้แต่นั่งมองและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกก่อนเดินทางต่อ แต่บอกเลยว่าความประทับใจที่ได้เห็นน้ำตกอันงดงามแห่งนี้ยังติดตาตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ ออกจากน้ำตกเพียงดิน เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังแก่งคุดคู้เลย แก่งคุดคู้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งที่ไม่มาไม่ได้ ตั้งอยู่ในตำบล เชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จุดเด่นของที่นี่คือ การชมทัศนียภาพของแม่น้ำโขง ในช่วงที่น้ำโขงลดเราจะเห็นแก่งน้อยใหญ่ อยู่ทั่วบริเวณ ดูสวยงามแปลกตา แต่เรามาในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำหลากจึงมองไม่เห็นแก่ง แต่ถึงกระนั้นความสวยงามของที่นี่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ที่นี่จะมีบันไดให้เราเดินลงไปชมวิวด้านล่างของแม่น้ำโขง บางคนอย่างชมวิวของแม่น้ำโขงแบบชัด ๆ เขาก็มีเรือท่องเที่ยวไว้บริการ และใครที่เป็นสายช้อปปิ้งก็คงไม่ผิดหวัง เพราะมีร้านค้าให้ช้อปปิ้งหลากหลายรูปแบบ ทั้งของกิน เสื้อผ้า และของที่ระลึก ที่นี่มีซุ้มอาหารที่ติดกับแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวสามารถสั่งอาหารรับประทานแล้วดูวิวแม่น้ำโขงไปด้วย เรียกว่าเจริญหูเจริญตาเวลาทานอาหารกันเลยทีเดียว ของฝากที่เราไม่ควรพลาดติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง นั่นก็คือมะพร้าวแก้วอ่อน ๆ หอมน้ำตาล รสชาติหวานกำลังดี ใครได้ทานแล้วบอกเลยว่าต้องอยากกลับมาซื้อซ้ำแน่นอน เราเดินทางออกจากแก่งคุดคู้เกือบค่ำเพื่อไปยังที่พักในตัวเชียงคาน เราอยากพักที่พักที่ติดกับแม่น้ำโขงมาก แต่เนื่องจากเป็นช่วงเสาร์ อาทิตย์ ที่พักที่ติดกับวิวแม่น้ำเต็มหมด เราจึงได้จองห้องพักไว้ที่เชียงคาน กรีนวิว รีสอร์ท ซึ่งเป็นที่พักที่อยู่ในซอยเล็ก ๆ ใจกลางเชียงคาน เมื่อเข้าไปถึงที่พัก ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย ถึงจะอยู่ใจกลางเชียงคาน แต่การตกแต่งของที่นี่ดูอบอุ่น น่าอยู่มาก สงบร่วมรื่นและสวยงามไม่แพ้วิวแม่น้ำโขง เราพักห้องพักเตียงเดี่ยวราคา 800 บาท แต่เสริมเตียงอีก 1 เตียง เพิ่มเงิน 300 บาท รวมเป็น 1,100 บาท ถือว่าราคาไม่แพงมาก กับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแบบนี้ เจ้าของรีสอร์ทที่นี่บริการดีมาก พูดคุยเป็นกันเองกับแขกที่มาพักทุกคน เมื่อเราเก็บข้าวของในห้อง แล้วพักผ่อนให้หายเหนื่อย เราก็พร้อมจะไปเดินถนนคนเดินแล้ว ที่รีสอร์ทแห่งนี้มีจักรยานให้เรายืมแบบฟรี ๆ ด้วย น่ารักมาก ข้อดีของการพักไกลจากถนนคนเดิน คือ การที่เราได้ปั่นจักรยานชมวิวในตัวเมืองไปด้วยระหว่างทาง เราปั่นจักรยานไปที่ถนนคนเดินแบบไม่รีบร้อน ดูวิว รถรา และผู้คนไปด้วย จุดเด่นของถนนคนเดินที่นี่ สำหรับเรา คือ การได้เดินชมสินค้าต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ของฝากของที่ระลึก สินค้าของที่นี่ก็จะคล้าย ๆ กับที่แก่งคุดคู้ เราจึงไม่ค่อยได้ซื้ออะไรนอกจากของทานเล่น แต่บอกเลยว่าสิ่งที่ชอบที่สุดคือการได้มาเดินดูตลาดกลางคืนแบบชิว ๆ ไม่รีบร้อนไปไหน อากาศเย็นสบายเดินไปด้วยพูดคุยกันไป มันสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครอบครัวได้อย่างมาก เป็นวิธีการออกจากโลกโซเชียลมาอยู่บนความเป็นจริงได้ดีวิธีหนึ่ง เราใช้เวลาในการเดินอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับที่พัก ก่อนกลับแวะร้านสะดวกซื้อ แวะซื้อขนมขบเคี้ยวให้เด็ก ๆ ซะหน่อย เช้าของวันที่สอง เราตื่นประมาณตี 5 ถือว่าไม่เช้ามากกว่าจะอาบน้ำแต่งตัวครบทุกคนก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ที่รีสอร์ทแห่งนี้มีอาหารเช้าไว้บริการ คือ ข้าวต้ม กาแฟ ขนมปัง และผลไม้ตามฤดูกาล เราทานข้าวต้มนิดหน่อยแล้วก็ออกเดินทางต่อเลย จุดแรกของวันนี้คือ วัดภูช้างน้อย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงคานมากนัก เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็ก ๆ วัดแห่งนี้มีบันไดขึ้นไปยังตัววัด 177 ขั้น เรียกว่าเดินขึ้นจนขาแข็งเลย วัดแห่งนี้ประดิษฐานพระใหญ่ พระพุทธรูปปางสมาธิ ด้านล่างพระใหญ่จะเป็นห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูปให้เราเข้าไปสักการะบูชาได้ บนวัดมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นตัวเมืองเชียงคาน แม่น้ำโขง และฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ประทับใจในวัดแห่งนี้ คือความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมากเหมือนในตัวเชียงคาน ในวันที่เราขึ้นไปมีนักท่องเที่ยว 4 – 5 คนเท่านั้น แต่ละคนที่ขึ้นไปก็มีความสำรวมและให้เกียรติสถานที่มาก เราออกจากวัดภูช้างน้อยแล้ว จึงเดินทางต่อไปยังภูทอก เพื่อหวังจะไปชมหมอกของที่นี่ เมื่อไปถึงทางขึ้นภูทอก เราต้องจอดรถไว้ด้านล่าง แล้วรอนั่งรถของแถวขึ้นไป แต่รอไม่นานเพราะคนเต็มเร็วมาก เมื่อคนเต็มรถก็ออกทันที ที่นี่มีรถไว้บริการตลอดทั้งวัน ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ นักท่องเที่ยวจะค่อนข้างมาก รถสองแถวพาเราขึ้นไปยังภูทอก บอกเลยว่าระยะทางที่ชันและโค้งขึ้นเขา ทำให้เรากลัวขึ้นมาทันที แทบจะหยุดหายใจในบางช่วงเลย พอขึ้นไปถึง ก็ไปกราบขอพรพระพุทธรูปประจำสถานที่ แล้วจึงไปดูหมอก แต่แอบผิดหวังเล็ก ๆ เพราะเมื่อคืนมีฝนตก อากาศอึมครึมจนมาถึงตอนเช้า ทำให้วันที่ไปไม่มีหมอก แต่ก็ได้ดูวิวสวย ๆ แทน ถือว่าทดแทนกันได้ ความประทับใจไม่รู้ลืมของการขึ้นภูทอก คือการนั่งรถขึ้นเขาที่คดเคียวนี่แหล่ะ กลัวที่สุดคือรถไหล แต่ก็ยอมรับในฝีมือของคนขับจริง ๆ ลองนึกเล่น ๆ ถ้ามีคนจ้างให้เราขับรถขึ้นไปนะ บอกเลยว่าจ้างเท่าไหร่ก็ไม่เอา ออกจากภูทอกเราก็เดินทางกลับทันทีกลัวถึงบ้านค่ำ เพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องไปทำงาน ทริปเล็ก ๆ ทริปนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก ระยะเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน แต่เราได้ไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเลยถึง 6 สถานที่เลยทีเดียว ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ ทุกคนควรอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ลองเข้ามาอ่านบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพลิน ๆ เอาไว้หลังสถานการณ์โควิด 19 หมดลง ค่อยเที่ยวกันนะคะ ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน