หลายคนอาจมีความสงสัย เรื่องการทำประกันชีวิตว่า เจ้าทุนประกันชีวิตนี่ ควรมีซักเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม ? ซึ่งเรื่องนี้ จริงๆ แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคล นั่นแหละครับ โดยตามหลักการ คนเราทำประกันชีวิต ก็เพราะว่า บุคคลนั้นควรสร้างหลักประกันรายได้ครอบครัวไว้อธิบาย คือ บุคคลนั้นควรเตรียมเงินก้อนไว้ในอนาคต หากเกิดเหตุไม่แน่นอนเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เงินก้อนที่เตรียมไว้ จะทำให้ครอบครัว ไม่เดือดร้อน นั่นเอง ทุนประกันจะเป็นเม็ดเงิน Support เพื่อรักษาทรัพย์สิน รักษาความมั่งคั่ง ระดับมาตรฐานการครองชีพของครอบครัวให้เดินต่อไปได้โดยไม่มีความเป็นอยู่ที่แย่ลง ซึ่งทุนประกันชีวิต มันมีวิธีคิดหลักๆ อยู่ 2 วิธี แหละครับ1. คิดจากทักษะ ความสามารถ รายได้ที่สามารถหาได้ ปัจจุบันไปจนถึงหยุดหารายได้ (เรียกว่ามูลค่าเศรษฐกิจ หรือความสามารถ) จะเอาอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้มาคิด จะทำให้บุคคลนั้นได้เห็นถึงเม็ดเงินที่เขาสามารถสร้างได้จากความสามารถหารายได้ของตัวเอง แล้วเอามาแปลงเป็นมูลค่าปัจจุบัน จะได้เป็นทุนประกันที่เหมาะสม ทุนประกันจะเปรียบเสมือนเม็ดเงินที่สร้างไว้ชดเชยรายได้ หากเกิดเหตุุไม่คาดฝันขึ้นกับบุคคลนั้น หรืออธิบายง่ายๆ แบบนี้ครับ หากเกิดเขาเป็นอะไรไป รายได้หรือเม็ดเงิน ที่เขาควรจะได้ มันจะไม่มี มันจึงเป็นเหตุเป็นผลว่า เราควรสร้างมันไว้ก่อน โดยการซื้อเงินก้อนล่วงหน้าในอนาคตไว้นั่นเอง 2. คิดจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีของครอบครัว ไปอีก 5-10 ปี (เรียกว่ามูลค่าความรับผิดชอบ) จะเอาอัตราเงินเฟ้อมาคิด เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในอนาคต ที่เหมาะสมกับความจริงที่สุด แล้วทำไมต้อง 5-10 ปี เหตุผล เพราะว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ครอบครัวจะตั้งตัวได้ ทั้ง 2 วิธี ต่างมีความเหมาะสม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการจัดสรรรายจ่ายเบี้ยประกันของแต่ละบุคคล ว่าจะทำวิธีไหนครับ ซึ่งท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะงง ในบทความนี้ ผมจึงอยากนำเสนอวิธีคิดอย่างง่ายๆ ให้ดูครับ ผมขอเลือกวิธีคิดจากค่าใช้จ่ายไปอีก 5-10 ปี โดยไม่เอาอัตราเงินเฟ้อมาคิด (ก็คูณเลขไปเฉยๆ) ลองคิดตามผมช้าๆ ตามนี้ครับสมมติ : คุณมีค่าใช้จ่ายครอบครัวคิดเป็นส่วนที่คุณรับผิดชอบ โดยเฉลี่ยเดือนละ 30,000 บาท คิดเป็น ปีละ 360,000 บาทอีก 5 ปี ข้างหน้า จะเกิดค่าใช้จ่ายขึ้น 1,800,000 บาท (360,000*5)อีก 10 ปี ข้างหน้า จะเกิดค่าใช้จ่ายขึ้น 3,600,000 บาท (360,000*10)ที่ผมให้คิดตาม ก็เพราะผมอยากให้คุณเห็น ค่าใช้จ่ายที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่เป็นส่วนรับผิดชอบจากคุณเอง นั่นหมายความว่า เรามีความสำคัญในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายก้อนนี้ และค่าใช้จ่ายก้อนนี้ ส่วนนี้ มันเกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคต ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไม่มีใครมายัดเยียดครับ หากแต่มันเกิดขึ้นเองตามระดับมาตรฐานการครองชีพของแต่ละครัวเรือน จนอาจเรียกว่า มันเป็น "มูลค่าความรับผิดชอบ" ของเราก็ว่าได้ครับทีนี้จึงเป็นคำถามที่น่าคิดน่ะครับว่า แล้วเรานั้นมีเงินเก็บเตรียมไว้เท่าไหร่แล้ว ? เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราได้เตรียมค่าใช้จ่ายไว้เพื่อการันตีอนาคตเท่าไหร่แล้ว ? แล้วทำไมผมจึงตั้งคำถามแบบนี้ ก็เพราะว่าหากเกิดเหตุไม่แน่นอนขึ้นกับเรา อาจทำให้ รายได้เรา ลด หด หาย แต่ค่าใช้จ่ายมันยังคงเดินต่อไปน่ะครับ มันจึงเป็นเหตุผลที่จะต้องเตรียมเอาไว้ แล้วความเหมาะสมควรเตรียมเท่าไหร่ เรื่องนี้มันเป็นความจำเป็นของแต่ละบุคคล ให้คุณเลือกครับ จากตัวอย่างข้างต้น ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้า คือ 1.8 - 3.6 ล้านบาท ทุนประกันที่เหมาะสม ให้คุณเลือกเอาครับ ว่าจะให้ครอบคลุม 5 ปี หรือ 10 ปี ครอบครัวคุณ จุดๆนี้ คุณน่าจะรู้ดีที่สุดครับ ว่าควรเลือกอะไร ถึงจะเหมาะสม บางครอบครัว ทำงานทั้งสามีภรรยา อาจจะเลือกครอบคลุม 5 ปี บางครอบครัวมีลูกที่อายุยังน้อย หรือมีบุคคลในอุปการะเยอะ เป็นเสาหลักคนเดียว อาจจะเลือกครอบคลุม 10 ปี หรือเผื่อมากกว่านั้นโดยหลักการ คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับสมมติ เอาเป็นว่าคุณเลือกที่ 5 ปี ทุน 1.8 ล้านบาท ทีนี้ก็มาดูว่าคุณมีทุนประกันที่มีอยู่เดิมหรือเปล่า ถ้ามีแล้ว มีเท่าไหร่ ?สมมติต่อ มีทุนประกันเดิมที่เคยทำไว้แล้ว 300,000 บาท ก็เติมเต็มส่วนที่ขาดอีก 1.5 ล้าน (1,800,000 - 300,000) คุณก็จะเห็นจุดที่เหมาะสม ว่า อ๋อ ฉันมีความจำเป็นที่ต้องทำเท่านี้น่ะ ต่อมาก็จะเป็นการมาเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์นี้ครับ ซึ่งวัตถุประสงค์นี้ คือ หลักประกันคุ้มครองรายได้ มันจึงต้อง เน้นแบบประกันที่ให้ทุนคุ้มครองสูงๆ โดยส่วนใหญ่ก็คือ แบบประกันแบบตลอดชีพ มีการสะสมมูลค่าในกรมธรรม์ ,ผลตอบแทนที่ได้ค่อนข้างต่ำ แต่ให้ทุนคุ้มครองที่สูง ,เบี้ยที่จ่ายไม่แพงเมื่อเทียบกับทุนคุ้มครองที่ได้ ที่เห็นเสนอขายในตลาดส่วนใหญ่ ก็แบบ 99/20 ส่งเบี้ยเพียง 20 ปี คุ้มครองตลอดชีพ ตัวทุนคุ้มครองตลอดชีพนี้ คุณอยู่ครบสัญญา หรือจากไปก่อน ก็ได้รับผลประโยชน์ตามสัญญาครับ หรือจะเป็นพวก Unit Linked ก็ได้ครับ มีความยืดหยุ่น ทุนคุ้มครองสูง เพิ่มลดทุนได้ สุดท้ายจึงมาเช็คความสามารถชำระเบี้ย จากสภาพคล่องของคุณครับ ว่าสามารถทำทุน 1.5 ล้านบาท เลยได้มั๊ย ผมขอยกตัวอย่างที่แบบประกัน 99/20 แล้วกันครับ (ทุน 1.5 ล้านบาท เกณฑ์ อายุ สุขภาพปกติ เบี้ยประมาณปีละ 31,500 บาท) สภาพคล่องติดขัดมั๊ย ? จุดนี้สำคัญครับ เพราะสัญญาประกันชีวิตเป็นการจ่ายเบี้ยออมระยะยาว อยู่ในงบประมาณค่าใช้จ่ายคงที่ ตามงบกระแสเงินสด ความสามารถในการจ่าย จึงมีความสำคัญ เพราะมันเป็นภาระผูกพันที่ต้องจ่ายคงที่ไประยะยาว อาจจะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง เพราะอย่าลืมน่ะครับ สภาพคล่องสำคัญมากจากกรณีตัวอย่างข้างต้น น่ะที่นี้ คุณได้รู้ถึงความเหมาะสม ความจำเป็นแล้ว แต่สภาพคล่องยังไม่โอเคร มันก็ไม่จำเป็นต้องรีบทำทุน 1.5 ล้านบาทก็ได้ (เบี้ยประมาณปีละ 31,500) ซึ่งคุณอาจไหวทำทุน 1 ล้านบาทก่อน (เบี้ยประมาณปีละ 21,000) ถือเป็นการสะสมไป อย่างน้อยก็ได้ซื้อเงินสดลดราคาไว้แล้ว เพราะการทำประกันชีวิตนั้น หากคุณทำช้าไป มันเหมือนคุณซื้อของแพงขึ้น (จ่ายเบี้ยแพงขึ้น) ทั้งที่ซื้อเงินก้อน (ทุนประกัน) เท่ากัน เพราะเบี้ยประกันที่ทุนเท่ากัน เบี้ยมันจะแพงขึ้นตามอายุ อย่างเช่น คุณประวิงเวลา ไปอีก 10 ปีข้างหน้า ค่อยทำ ทุน 1 ล้านบาท คุณอาจจะต้องจ่าย ปีละเกือบ 40,000 บาท ก็ได้ ทั้งที่ซื้อเงินก้อน 1 ล้านบาทเท่ากัน อีกทั้ง ณ ตอนนั้นอาจสุขภาพไม่ดี เกิดทำไม่ได้ บริษัทไม่รับประกันขึ้นมา คุณต้องเหนื่อยหาเงินมากกว่าเดิมอ่ะครับ เพราะเราไม่สามารถใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่า การซื้อเงินก้อนใหญ่ในอนาคต โดยใช้เงินสดย่อยผ่อนจ่ายไว้ได้ คุณก็ต้องลงทุน ก็ต้องเก็บเงินเอาครับ (อย่าลืมน่ะครับ ประกันชีวิต เราใช้เงิน 21,000 ผ่อนจ่าย ซื้อเงินล้านวันนี้) ซึ่งหากเราใช้เครื่องมืออย่าง ประกันไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าแน่นอน เพราะมันไม่มีเงินก้อนใหญ่ ไว้คอยการันตีความมั่นคงที่เพียงพอจะทำให้เราอุ่นใจได้ (Wealth Protection)การทำประกันชีวิต คือ การซื้อเงินก้อนใหญ่ไว้ การเตรียมค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เตรียมไว้นั่นเองครับ ว่าหากเกิดเหตุไม่แน่นอนเกิดขึ้นกับคุณ ผู้ซึ่งมีส่วนช่วยรับผิดชอบครอบครัวนั้น ทุนประกันก้อนนี้จะทำให้ครอบครัวเดินต่อไปได้ โดยไม่สะดุด ไม่สะเทือนทรัพย์สินเงินทองที่หามา (หรือพูดง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินเงินทองที่เราอุตส่าห์ทำมาหาได้มา มันจะไม่ต้องถูกขายออกมาเพื่อให้ครอบครัวใช้จ่าย)"การซื้อเงินสดก้อนใหญ่ ด้วยเงินสดย่อย โดยการผ่อนชำระค่าเบี้ยเป็นรายงวด" ...นี่แหละครับ การสร้างเงินก้อนสำเร็จรูป หรือการเตรียมค่าใช้จ่ายล่วงหน้าไว้ พอมีสภาพคล่องหรือมีความพร้อมอีกก็ค่อยทยอยซื้อทุนเพิ่ม/เติมเต็มให้เหมาะสมต่อไปครับ จะเห็นว่าการสร้างเงินก้อนสำเร็จรูป สร้างไว้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สร้างไว้โดยไม่ต้องเสียเวลาเก็บหอมรอมริบเป็นหลายๆปี ลองคิดดูครับ เงิน 1 ล้านถ้าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บ 20 ปี คุณต้องเก็บปีละ 50,000 บาท ประเด็นคือ หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางหล่ะ คุณก็ได้ไม่ครบ 1 ล้าน แถมยังจ่ายแพงกว่าอีก...นี่แหละครับ เครื่องมือทางการเงิน มันถูกออกแบบมาให้มีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ การประกันชีวิตไม่ใช่การทำเพื่อหวังผลตอบแทน หากแต่เป็นการทำเพื่อปกป้องรักษาความมั่งคั่ง ประกันชีวิตก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่ง และเป็นกระบวนการหนึ่งในกระบวนการวางแผนทางการเงิน ที่จะเติมเต็มให้แผนการเงินมีความสมบูรณ์ครับ โดยจะว่าไปแล้วการวางแผนการเงินมันมีวัตถุประสงค์หลักๆอยู่ 2 ประเด็น นั่นก็คือ การสร้างความมั่งคั่ง และการรักษาความมั่งคั่ง การวางแผนการเงินมันจึงไม่ใช่การมุ่งแต่จะสร้างแต่ความมั่งคั่ง แต่มันควรต้องมีมาตรการในการที่จะรักษาความมั่งคั่งไม่ให้ลดลงด้วย มั่งคั่ง มั่นคง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินบุคคลอย่างยั่งยืนในระยะยาว การรักษาความมั่งคั่งนั่นก็คือ การวางแผนประกันภัยนั้นเองครับ ดังรูปคุณจะเห็นผมได้อธิบายเปรียบเทียบ การวางแผนการเงิน กับ การวางแผนประกันครับ -------------------------------------------------------------ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ#MoneyWakeUP