เรื่องวางแผนทุนเพื่อการศึกษาลูก ตามหัวเรื่องเลยครับ "มันสามารถทำให้เราประหยัดเงินได้" จริงๆหรือ ? ผมอยากให้ทุกท่านตั้งคำถาม และสงสัยก่อนเลยครับว่า เฮ้ยๆๆ มันจริงหรือเปล่า ? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า ค่าเล่าเรียนลูก จำเป็นมั๊ย ? ถ้าลองสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคุณพ่อ คุณแม่ เดินสอบถามซัก 100 คน ผมว่าต้องตอบว่าจำเป็นเกิน 70% และแน่นอนครับมันคือเรื่องจำเป็น เพราะว่า มันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคต สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูก ผมเชื่อว่าท่านต้องเคยคิดเรื่องนี้ไว้บ้างแหละ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามครับ ในมุมของผม ที่ศึกษาด้านการเงินส่วนบุคคลมาโดยตรง และในหลักสูตรที่เป็นสากล ก็ฟันธงอยู่แล้วว่า มันคือเรื่องจำเป็น ที่ต้องมีการเตรียมการไว้ครับ กรณีนี้ผมขอนำเสนอ เป็นค่าเล่าเรียนช่วงเข้ามหาวิทยาลัยน่ะครับ (ตัวอย่างค่าเล่าเรียนตามรูป)รูปที่ 1ที่มาของรูปภาพ : จากแบบประเมินความพร้อมทางการเงิน Financial Health Check บริษัท AIA ที่แสดงถึงข้อมูลค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาจากเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยแต่ละประเทศโดยตรง ณ เดือนพฤศจิกายน 2557 มาต่อครับ ประเด็นที่ควรรู้ และอยากให้ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูครับ...1. ถ้าไม่เตรียมจะเป็นอย่างไร ? 2. แล้วต้องเตรียมไว้เท่าไหร่ ? 3. แน่นอนครับ เราควรมีการลงทุน และเป็นเป้าหมายระยะยาว แล้วต้องทำอย่างไร ? ประเด็นที่ 1 ท่านคงพอตอบได้อยู่แล้ว ผมสื่อเพื่อกระตุ้นให้ท่านผู้อ่านรับรู้ถึงความสำคัญเฉยๆ ครับ ส่วนในประเด็นที่ 2 และ 3 ผมอยากให้มาทำความเข้าใจกัน เพื่อความชัดเจน และเห็นแนวทาง เห็นวิธีการ ดังคำที่ว่า "เป้าหมายมี วิธีการจะมา"ประเด็นที่ 2 ต้องเตรียมไว้เท่าไหร่ ? จะว่าไป ส่วนนี้ก็คือ “เป้าหมาย” นั่นเองครับ สมมติ (*ย้ำว่าสมมติน่ะครับ) ปัจจุบันลูกคุณ อายุ 3 ขวบ อีก 15 ปี ลูกจะมีอายุ 18 ปี เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพอดี จุดนี้จะเห็นว่า คุณมีระยะเวลาเตรียมตัว 15 ปี ครับสมมติ เป้าหมายอยากให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาล (*ย้ำ ผมสมมติน่ะครับ จริงๆ มันขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณพ่อ คุณแม่ แหละครับว่าต้องการให้ลูกเข้าศึกษาไหน)ตามรูปข้างต้น ปัจจุบันเอาที่ ปี 2019 ค่าเล่าเรียนจะอยู่ที่ ปีละ 80,294 บาทถ้าอีก 15 ปี ข้างหน้า คือ ปี 2034 ตามรูปเลยครับ (อัตราเงินเฟ้อด้านการศึกษา 6% ต่อปี ทำให้ค่าเล่าเรียนแพงขึ้นครับ)ค่าเทอมในอีก 15 ปีข้างหน้า จะแพงขึ้นเป็น 192,428 บาทต่อปี ถ้าคิดง่ายๆทั้งหลักสูตร 4 ปี ก็จะเป็น 769,712 บาท นี่คือเฉพาะค่าเล่าเรียนน่ะครับผมจะลองคิดค่ากินค่าอยู่ และบวกเข้าไปเพิ่มอีก (ค่าหอ ค่าอาหาร คร่าวๆ)เฉลี่ยให้ประมาณปีละ 120,000 บาทน่ะ 4 ปี ก็จะเป็น 480,000 บาท ประมาณการน่ะครับ (ซึ่งผมประเมินสูงไว้ก่อน ดีกว่าผมประเมินต่ำไป ยังไงการวางแผนไว้เกินมันดีกว่าขาดเสมอ) เพราะฉะนั้น รวมงบประมาณที่ต้องมีทั้งสิ้นเพื่อเตรียมเป็นทุนใช้จ่ายในการศึกษาของลูก คือ 769,712 + 480,000 = 1,249,712 บาทเม็ดเงิน 1,249,712 บาท นี่แหละครับ จะเรียกว่า "เป้าหมายทางการเงินของท่าน"จากข้อมูลประกอบกับข้อสมมติฐาน ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เราได้เห็นเป้าหมายแล้วว่า ฉันจะต้องมี 1,249,712 บาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาลูก ภายในระยะเวลา 15 ปี ที่นี้ มาดูครับว่า ถ้าหากเราไม่จัดการอะไร เราทำงาน หาเงิน มาฝากในบัญชีเฉยๆ 15 ปี ต้องฝากปีละเท่าไหร่ (*ก็ลองหารเฉยๆ ก็ได้ครับ)(1,249,712/15 = 83,314 บาท) คุณต้องฝากปีละ 83,314 บาท ระยะเวลา 15 ปี คิดเป็นเงินต้นทั้งสิ้น 1,249,712 บาททีนี้ก็มาต่อที่ประเด็นที่ 3 มันต้องมีการวางแผนการลงทุนระยะยาว แล้วต้องทำอย่างไร ? ขออธิบายตามนี้เลยแล้วกันครับ ว่ามันก็ต้องมีการวางแผนการลงทุนนั่นแหละครับ ระยะเวลายาวถึง 15 ปี อัตราผลตอบแทนที่ 5-8% ต่อปี ก็พอมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เหตุผลที่ต้องลงทุน ก็เพื่อให้เรา ประหยัดกว่าการไม่ทำอะไรเลย และทำให้เราเหนื่อยน้อยลงนั่นแหละครับ มันเป็นการใช้ประโยชน์ จากอัตราผลตอบแทนกระทบต้น และระยะเวลาครับ ซึ่งเป็นเรื่องของมูลค่าเงินตามระยะเวลา อธิบายตามสมการนี้ครับ FV = PV(1+i)^n โดยที่FV คือ มูลค่าเงินในอนาคตPV คือ มูลค่าเงินในปัจจุบันi คือ อัตราผลตอบแทนn คือ ระยะเวลาจากสมการจะเห็นได้ว่า เงินต้น ,อัตราผลตอบแทน และระยะเวลา เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ส่งผลต่อมูลค่าเงินในอนาคต ถ้าจะมองในแง่ของการเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง โดยกำหนดให้ปัจจัยระยะเวลาที่เท่ากัน เป้าหมายหรือมูลค่าเงินในอนาคตเท่ากัน จะเห็นได้ว่า ณ ระดับผลตอบแทนที่สูงกว่า ย่อมทำให้สามารถประหยัดเงินต้นได้มากกว่าจึงเป็นที่มาว่า "ควรลงทุน" ครับ เพราะสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า และใช้เงินต้นที่ลงทุนไปน้อยกว่านั่นเอง และสมการนี้บอกอะไรอีก อธิบายในเรื่องของเวลา ถ้ามีเวลาเหลือเยอะ แน่นอนครับ จะรู้สึกผ่อนคลายในเรื่องของผลตอบแทน ส่งผลไปยังความเสี่ยงที่ค่อนข้างปกติ ในทางกลับกัน หากเวลาเหลือน้อย มันเหมือนกับเราโดนผลักไปยังทางเลือกที่ผลตอบแทนสูง พอผลตอบแทนสูงก็มีความเสี่ยงความคาดหวังสูง ซึ่งไม่ค่อยโอเครเท่าไหร่ กับแผนเพื่อการศึกษาลูกครับ เรื่องนี้ สิ่งที่เป็นปัญหา คือ คนส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญ มักมองข้าม เพราะมองว่าอีกตั้งนาน ค่อยจัดการก็ได้ จนเกิดเป็นการเตรียมตัวที่ช้าเกินไป ทำให้ระยะเวลาในการลงทุนนั้นสั้น ซึ่งผมมองว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะระยะเวลาเตรียมตัวที่สั้นเข้ามา มันมาพร้อมการคาดหวังที่สูงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้นการควักเงินลงทุนที่สูงขึ้น เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่จะใกล้ได้ใช้ มันเลยค่อนข้างเสี่ยงครับ อีกอย่างแผนการศึกษาบุตรนี้ เป็นแผนที่จำเป็น เรียกได้ว่าเป็น Serious Plan ถึงเวลาต้องได้ใช้ อะไรที่แลดูเสี่ยงเกินไป ย่อมไม่ใช่แนวทางที่ดีนัก (อีกอย่าง ระยะเวลาสั้นๆ ไม่มีกูรูที่ไหนกล้าการันตีน่ะครับ) ส่วนเรื่องการเลือกสินทรัพย์ลงทุน การจัดพอร์ตลงทุน ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และ ต้อง ออม/ลงทุน ปีละเท่าไหร่ ? อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนการลงทุนอยู่แล้วครับ ผมไม่ขอลงรายละเอียด แต่มีแนวทาง มีสินทรัพย์ที่สามารถทำให้คุณนั้นบรรลุเป้าหมายแน่นอน สำคัญที่ การเห็นเป้าหมาย เห็นความสำคัญ ความชัดเจนในการลงทุนของเราเองก็พอครับ ว่าเราลงทุนไปเพื่ออะไร (Goal Base) สมมติ ดังรูป คาดหวังอัตราผลตอบแทนที่ 8% ต่อปีรูปที่ 2คำนวณตามรูป โดยใช้เครื่องคิดเลขทางการเงิน จะใช้เงินลงทุนเพียงปีละ 46,026 บาท เท่านั้น ระยะเวลา 15 ปี รูปที่ 3ซึ่งคิดเป็นเงินต้นประมาณ 690,390 บาท ก็สามารถบรรลุเป้าหมาย 1,249,712 บาท ทำให้เราประหยัดเงินต้นได้เยอะเลยครับและทั้งหมดนี้เป็นภาพไอเดีย การวางแผนการลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก ผ่านแผนการลงทุนระยะยาว สามารถประหยัดเงินได้จริง !!! เพราะฉะนั้น ผมขอสรุปเลยแล้วกันว่า สิ่งที่ทำให้เราสามารถประหยัดได้ นั่นก็คือ เรื่องของอัตราผลตอบแทน และระยะเวลาที่เราออม/ลงทุน นั่นเองครับ การเริ่มต้นเร็ว มีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว ย่อมเป็นแนวทางที่ดีกว่า เพราะมันมีผลต่อระดับความเสี่ยง และการบรรลุเป้าหมายครับรูปที่ 4 ขอบคุณภาพประกอบภาพหน้าปก จาก : pixabay รูปที่ 1 ภาพแสดงค่าเทอมถ่ายโดยผู้เขียน : จากแบบสอบถามประเมินความพร้อมทางการเงิน Financial health check ของบริษัท AIAรูปที่ 2 ภาพของผู้เขียนรูปที่ 3 ภาพของผู้เขียนรูปที่ 4 จาก : pixabay