ท่านเคยได้ยินคำว่าฮีตสิบสองคองสิบสี่ ของคนอีสานหรือไม่ คำนี้หากใครเป็นคนอีสานขนานแท้คงจะเคยได้ยินมาบ้าง ฮีตสิบสองคองสิบสี่ หมายถึง แนวปฏิบัติของคนอีสาน ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองหลักใหญ่ ๆ คือการปฏิบัติตามฮีต และการปฏิบัติตามคองการปฏิบัติตามคอง คำว่า "คอง" มาจากคำว่า "ครรลอง" ซึ่งหมายถึงแนวทางหรือแบบฉบับ ดังนั้นการปฏิบัติตามคองจึงหมายถึง การปฏิบัติตามแนวทางที่บรรพบุรุษได้บัญญัติไว้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบฉบับที่จะนำไปสู้ความเจริญรุ่งเรืองในสังคม ซึ่งมีทั้งสิ้น ๑๔ ข้อ หนึ่งใน ๑๔ ข้อนี้ คือ ฮีตปีคองเดือน ซึ่งก็หมายถึง ฮีตสิบสองนั้นเองการปฏิบัติตามฮีต คำว่า "ฮีต" มีความหมายตรงกับคำว่า "จารีต" ดังนั้นการปฏิบัติตามฮีตจึงหมายถึง การปฏิบัติตามจารีตประเพณี ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ นั้นคือประเพณีสิบสองเดือน จากที่กล่าวมาข้างต้นคำว่าฮีตสิบสอง แท้จริงเป็นส่วนหนึ่งของคองสิบสี่ ซึ่งเป็นคองข้อที่ ๑๒ ว่าด้วย ฮีตปีคองเดือน นั้นเองหลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเอาชื่อคองเพียงข้อเดียวมาตั้งเป็นชื่อแนวปฏิบัติ ว่า "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" แล้วคองข้ออื่น ๆ หละ ทำไมไม่เอามาตั้งชื่อด้วย สาเหตุก็เพราะคนอีสานหากเห็นว่าสิ่งใดสำคัญก็จะให้ความสนใจและใส่ใจเป็นพิเศษ การนำฮีตปีคองเดือน ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงหนึ่งในคองสิบสี่ มายกฐานะให้เท่ากับคองสิบสี่ก็เพราะ ฮีตปีคองเดือนถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากของคนอีสาน เนื้อหาว่าด้วยการปฏิบัติตามประเพณีทั้งสิบสองเดือน ซึ่งมีทั้งประเพณีหลัก (ประเพณีที่ต้องทำทุกปี) และประเพณีรอง (ประเพณีที่ต้องทำในบางปี ซึ่งจะทำก็ต่อเมื่อวันเวลาเวียนมาคบรอบ) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคนอีสานให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมประเพณีเป็นอย่างมาก ซึ่งมีการสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และนี้ก็คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องยกฐานะของฮีตปีคองเดือน ให้มีฐานะเป็นแนวปฏิบัติที่จำเป็นต้องทำ จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าฮีตสิบสอง ถือว่ามีความสำคัญกับคนอีสานมาก คนอีสานจะต้องทำงานบุญประเพณีทุกเดือนตามเนื้อหาที่ว่าไว้ในฮีตปีคองเดือน และนั้นจึงเป็นที่มาของบุญเดือนสี่ หรือประเพณีบุญผะเหวดที่มา : ภาพงานบุญผะเหวด จากเพจ Mahasarakham University บุญผะเหวด เป็นหนึ่งในประเพณีสิบสองเดือนที่ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในเดือนสี่โดยนับตามจันทรคติ หรือประมาณช่วงเดือนมีนาคมของระบบสุริยคติ คำว่าผะเหวดก็คือพระเวสสันดรนั้นเอง โดยสาระสำคัญของการจัดงานบุญผะเหวดคือ การให้ท่าน และการฟังเทศน์มหาชาติ การฟังเทศน์มหาชาติ คือการเทศน์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายของพระสมณโคดม ก่อนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงการให้ทานของพระเวสสันดร ซึ่งถือว่าเป็นการสอนให้ชาวพุทธรู้จักการให้ผ่านการจัดบุญประเพณี เนื้อหามีทั้งสิ้น ๑๓ กัณฑ์ ๑,๐๐๐ พระคาถา ซึ่งบางพื้นที่จึงเรียกการเทศน์นี้ว่า เทศน์พันคาถาหรือเทศน์คาถาพัน แต่ถึงจะเรียกอย่างไรก็หมายถึงการเทศน์มหาชาตินี้เองหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฟังเทศน์มหาชาติคือ เครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ หรือชาวอีสานเรียกกันว่า "เครื่องบูชาคาถาพัน" ซึ่งมีหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ข้าว ๑,๐๐๐ ก้อนเทียน ๑,๐๐๐ เล่มธูป ๑,๐๐๐ ดอกดอกไม้ ๑,๐๐๐ คู่ หมากพลู ๑,๐๐๐ คำบุหรี่ ๑,๐๐๐ มวน ธุง ๑,๐๐๐ธุง (อาจเป็นธุงกระดาษหรือถุงผ้าเล็ก ๆ )ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น กล้วย มะพร้าว อ้อย เป็นต้น ซึ่งเครื่องบูชาเหล่านี้ถูกจัดขึ้นเพื่อบูชากัณฑ์เทศน์มหาชาติ ซึ่งจำนวนของเครื่องบูชา ก็มาจากจำนวนพระคาถานั้นเอง การเทศน์มหาชาติ นอกจากจะมีจัดในภาคอีสานแล้ว ยังพบได้ในทุกภาคของประเทศน์ไทยซึ่งเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ในแต่ละภาคก็จะมีความแตกต่างกันไป ตามรูปแบบวิถีชีวิตของคนในภูมิภาคนั้น ๆ ยกตัวอย่างคนในภาคอีสาน ก็จะมีเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนอีสาน เช่น ข้าวพันก้อน ดอกโน และธุง เป็นต้นที่มา : ภาพข้าวพันก้อน จากเพจ Mahasarakham University ข้าวพันก้อน คือ ข้าวเหนียวนึ่งสุก แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ เพื่อเป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ นอกจากนี้เครื่องบูชาชนิดนี้ยังส่งผลให้เกิดประเพณีอีกหนึ่งอย่าง คือ "การแห่งข้่าวพันก้อน" ซึ่งการแห่งข้าวพันก้อนนั้น จะกะทำในเวลาประมาญ ตี ๑ ถึงตี ๕ (แล้วแต่พื้นที่) นับเป็นการแห่ประเภทเดียวของภาคอีสานที่จัดให้แห่ในเวลากลางคืน โดยชาวบ้านจะออกมารวมตัวกันแล้วทำการแห่ไปรอบหมู่บ้านหรือบริเวณที่จะมีการเทศน์มหาชาติ จากนั้นจะนำข้าวพันก้อนไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของบริเวณการเทศน์เพื่อเป็นการบูชากัณฑ์เทศน์ ที่มา : ภาพการนำข้าวพันก้อนไปบูชากัณฑ์เทศน์ จากเพจ Mahasarakham University ดอกโน เป็นดอกไม้สำหรับบูชากัณฑ์เทศน์ ซึ่งดอกโนนี้ไม่ใช่ดอกไม้จริง ๆ แต่เป็นดอกไม้ที่ชาวบ้านประดิษฐ์ขึ้นเองจากไม้ของต้นหม่อน วิธีการคือนำเอาก้านของต้นหม่อนที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก มาปอกเปลือก แล้วนำมีดมาตัดเป็นกลีบให้มีขนาดพอดีกัน จากนั้นก็จะได้ดอกโนที่สวยงาม ซึ่งบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงไม่เอาดอกไม้จริง ๆ มาบูชา ทำไมต้องมีการประดิษฐ์ดอกไม้ขึ้นด้วย สาเหตุก็เพราะในช่วงที่จัดงานบุญเดือนสี่ฟังเทศน์มหาชาติ อยู่ในช่วงหน้าแล้ง ชาวบ้านจึงไม่มีดอกไม้ที่สวยพอที่จะนำมาบูชากัณฑ์เทศน์ อีกทั้งการเตรียมงานจำเป็นต้องทำหลายวันก่อนหน้าที่จะมีการเทศน์ ถึงจะหาดอกไม้จริงได้ ดอกไม้นั้นก็คงเหี่ยวแห้งไปก่อน ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะประดิษฐ์ดอกไม้ขึ้นมาเองทั้งเพื่อความสวยงาม และเพื่อความทนทานด้วยที่มา : ภาพดอกโน จากเพจ Mahasarakham University ธุง โดยคำว่าธุงแท้จริงก็คือธงนั้นเอง โดยคนอีสานจะมีความเชื่อว่าธุง คือสิ่งของที่เป็นมงคล หากนำไปวางไว้ ณ ที่แห่งใดก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ชาวบ้านจึงมีการประดิษฐ์ธุงขึ้นเพื่อเป็นการบูชากัณฑ์เทศน์ โดยธุงที่ประดิษฐ์ขึ้นมามีทั้งธุงผ้าและธุงใยแมงมุม ซึ่งทั้งสองอย่างเกิดจากการคิดค้นของคนในชุมชนเองซึ่งสืบทอดกันมาอย่างช้านาน และมีการประดิษฐ์ขึ้นมาได้อย่างสวยงามแทบทุกพื้นที่ในภาคอีสานที่มา : ภาพธุงใยแมงมุม จากเพจ Mahasarakham University จะเห็นว่าเครื่องบูชากัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นสังคมของแต่ละสังคมได้ชัดเจนมาก เช่นชาวอีสานนิยมรับประทานข้าวเหนียวก็นำมาเป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ หรือการตัดดอกโน ก็กระทำขึ้นเพราะสภาพภูมิอากาศในสังคม ดังนั้นเครื่องบูชาคาถาพัน จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ที่สะท้อนสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริงขอบคุณภาพจาก เพจ Mahasarakham University