อื่นๆ

"รอย" กระทง

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
"รอย" กระทง

                                                                                                     “รอย” กระทง

                ปีที่แล้วเจ้าไผ่ หลานของผมไปเป็นเด็กเก็บกระทงที่ท่าน้ำวัดแห่งหนึ่ง เพราะระดับน้ำกับท่าน้ำนั้นห่างกันจนคนไม่สามารถลอยได้อย่างสะดวก เขาจึงไปทำหน้าที่นั้น นอกจากจะเก็บเงินจากกระทงได้แล้วนั้น บางคนที่มาลอยเมื่อเห็นว่าเป็นเด็กหน้าตาน่ารักจึงให้ทิปด้วย ปีนั้นเจ้าไผ่ได้เงินมาเกือบ 3000 บาท เขาได้รถจักรยานตามที่ขอไว้ทันใจ

                ปีนี้เขาขึ้นม.ต้นแล้ว ความอยากได้อยากมีเลยเป็นไปตามกระแส นั่นคือเขาอยากได้โทรศัพท์ เขาเก็บเงินมาตั้งแต่เปิดเทอมได้จำนวนหนึ่ง และตั้งใจว่าคืนนี้แหละจะได้เงินมาสมทบจนสามารถซื้อโทรศัพท์ที่มีแรมเยอะๆ รอมเยอะๆ ได้สมใจ

                แต่แม่ไม่อยากให้ไป เพราะเมื่อหลายเดือนก่อน มีคนเมาเหล้าขาวมาหายิงปลาแล้วตะคริวกินจมน้ำตาย ตอนที่เอาศพขึ้นมานั้นแขนขาแข็งทื่อชี้ฟ้าน่าเวทนา แต่เพราะความอยากได้และความเป็นวัยรุ่นหัวรั้น ไผ่จึงอ้อนแม่เขาไปจนได้ ซวยมาถึงผมเองที่ต้องไปนั่งเฝ้ามันอยู่ริมคลอง และแม้ว่ามันจะบอกว่ามันโตแล้ว แต่ในสายตาผมเจ้าไผ่ก็ยังเป็นเด็กน้อยอายุสิบสองปีอยู่ดี

Advertisement

Advertisement

                งานลอยกระทงปีนี้ครึกครื้น เพราะมีเวทีรำวง นั่นก็ยิ่งทำให้คนมาลอยกระทงกันมากขึ้นกว่าปีก่อน ไผ่จึงมีรายได้จากการเป็นเด็กเก็บกระทงค่อนข้างมาก เผลอๆ อาจจะมากกว่าแม่ค้าที่มาตั้งแผงขายเสียด้วยซ้ำ...ผมรู้สึกว่าไอ้อาชีพเด็กกระทงเนี่ย...โคตรจะขี้โกงเลย

                ไผ่ขึ้นมาพักเป็นช่วงๆ เพราะอากาศหนาว เขานำเงินมาฝากผมเรื่อยๆ มองจากสายตาแค่ชั่วโมงเดียวก็ได้เกือบพันบาทแล้ว ไผ่กลับไปอีกครั้ง ช่วงเวลาสี่ทุ่ม คนเริ่มมาลอยกันมากขึ้น เพราะมีคนงานที่เลิกงานดึกด้วย ผมจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ ท่าน้ำเพื่อจะได้สอดส่องความปลอดภัยของหลานชายมากขึ้น แต่แค่ลับตาวูบเดียวก็ได้ยินเสียงร้องโวยวาย ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นมาทันที และจับใจความได้ว่ามีเด็กจมน้ำ ใจผมสั่น วิ่งเข้าไปหาทันทีและได้ความว่าเด็กเสื้อน้ำเงินที่เป็นคนรับกระทงนั้นจู่ๆ ก็จมหายไป ทีแรกเขาคิดว่าเด็กมันหยอก แต่ไผ่หายไปเกือบนาทีแล้ว

Advertisement

Advertisement

                ผมไม่รออะไรสักอย่าง กระโดดตูมลงไปทันที ก่อนที่ชาวบ้านจะช่วยกันไปตามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความเรียบร้อยในงานเข้ามาช่วยเหลือ ผมว่ายน้ำไม่แข็ง และน้ำบริเวณริมตลิ่งตอนนี้ก็ขุ่นจนลืมตาไม่ได้ ผมจึงต้องดำผุดดำว่าเพื่อควานหาไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย กลืนน้ำไปก็หลายอึก กระทั่งไปสัมผัสกับบางอย่างคล้ายมือ จึงดึงขึ้นมา และปรากฏว่ามันเป็นไผ่ที่หมดสติไปแล้ว ริมฝีปากซีด ผมร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่รับช่วงต่อไป เขาช่วยฝายปอดให้ไผ่อย่างไม่ลดละ และผมที่นั่งร้องไห้เอาแต่ทาตัวเองที่ดูแลหลานชายไม่ดีพอ ไม่กล้ากระทั่งโทรหาที่บ้าน

                แล้วสุดท้าย...ไผ่ก็มีสติอีกครั้ง เขาช่วยไผ่กลับมาได้ ผมพุ่งตัวเข้าไปคว้าหลานชายมากอดเอาไว้ด้วยความห่วงใย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง และที่บ้านต้องรับรู้เรื่อง ผมโดนที่บ้านตำหนิอย่างหนักที่ไม่ดูหลานดีๆ แต่ผมก็ไม่เถียง เพาะผมเผลอไผลจริงๆ นั่นแหละ

Advertisement

Advertisement

                รุ่งเช้าที่หมออนุญาตให้หลานกลับบ้านได้ ทุกๆ คนจึงเค้นถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กที่เกิดและโตมากับน้ำ ว่ายน้ำเป็นตั้งแต่อนุบาล

                เรื่องเล่าของไผ่ทำให้เราทุกคนตัดสินใจห้ามเขาไปที่ท่าน้ำนั้นอีกตลอดกาลทันที

                ไผ่เล่าว่าเขาเห็นน้าคนหนึ่งเหมือนจะเมาๆ โผล่หน้ามาจากใต้ท่าน้ำนั้น สวมหน้ากากดำน้ำอันโต ถือปืนยิงปลาเขาชวนไผ่คุยและบอกว่ามาหาปลากิน ซ้ำยังถามด้วยว่าไผ่จะเอาปลาไปกินไหม ไผ่ตอบว่าไม่เป็นไร ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวไปหาปลาต่อแล้วมุดน้ำหายไป ในตอนนั้นเองที่จู่ๆ ไผ่ก็ต้องไปรับกระทงจากชาวบ้าน แล้วเขาก็รู้สึกว่าโดนคว้าที่ข้อเท้าแล้วดึงกระชากอย่างแรงหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

                ในตอนที่เจอร่างของไผ่ เขามีสาหร่ายน้ำจืดและกิ่งไม้พันที่ขาเอาไว้แน่นจนเราคิดว่าหลานโกหก แต่เมื่อสอบถามรูปพรรณของน้าขี้เมาคนนั้นก็พบว่าเป็นคนเดียวกับที่ตายเมื่อหลายเดือนก่อน รอยสักที่ต้นคอจากคำบอกเล่าของไผ่คือจุดชี้ชัด เพราะไผ่ไม่มีทางรู้จักหรือเห็นคนที่ตายแน่ๆ มีเพียงผมที่รู้จักผิวเผิน

                ไผ่บอกกับพวกเราว่าเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว...นั่นทำให้เราเบาใจไปได้มาก เพราะอย่างน้อยก็จะไม่ต้องตามห่วงอีกแล้ว เรื่องราวในคืนนั้นคงเป็นร่องรอยในคืนวันลอยกระทงที่ไผ่จะไม่มีวันลืมๆ แน่

                เรื่องน่าแปลกก็เกิดขึ้นในสองวันต่อมา เพราะที่ข้อเท้าขวาของไผ่นั้นปรากฏรอยช้ำที่ค่อยๆ ชัดขึ้น เป็นรูปนิ้วห้านิ้วในลักษณะกำข้อเท้าของเขาเอาไว้ ไผ่บอกว่าไม่เจ็บ มันคงอยู่ที่เท้าไผ่อย่างเป็นปริศนา และหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้

                หลังจากนั้น ทางวัดก็ทำพิธีใหญ่ที่ท่าน้ำเพื่อสวดส่งวิญญาณ ป้องกันไม่ให้วิญญาณเฮี้ยนนั้นกลายเป็นวิญญาณร้ายที่มาคอยหายตัวตายตัวแทนอย่างไม่มีวันจบสิ้น

                นั่นก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ผมเกลียดแหล่งน้ำทุกแห่งอย่างถึงที่สุด...เราไม่มีวันรู้เลยว่าใต้ผืนน้ำนั้นมีอะไรแฝงเร้นอยู่ แต่ที่รู้ๆ ไม่มีไผ่...เด็กเก็บกระทงอีกแล้วอย่างแน่นอน

                                                                                                  จบ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์