อื่นๆ

วิญญาณหลอนรางรถไฟ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
วิญญาณหลอนรางรถไฟ

วิญญาณรางรถไฟ                                                 (ขอบคุณเจ้าของภาพ 4144132  เครดิตภาพจากเว็บไซต์รูปภาพฟรีสุดสวย pixabay.com )

เรื่องราวที่จะของกล่าวถึงนี้ ได้ผ่านมาเป็นเวลาเกือบ  20 ปีที่แล้ว ที่บ้านเกิดใน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเอง  ในขณะนั้นความเจริญยังเข้าไม่ถึง ความกันดารของดินลูกรัง และ ฝุ่นในการเดินทางเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยและได้สัมผัสกันอยู่เป็นประจำ 

แต่ดีหน่อยที่เวลาเดินทางไกลๆทุกๆครั้ง ผมได้ใช้แต่รถไฟในการโดยสารเดินทาง  ไม่ว่าจะเป็นการ ไปโรงเรียน ในตัวจังหวัดที่ห่างจากอำเภอนี้ประมาณ 15 กิโลเมตรด้วยกัน

โดยที่ระยะทางของหมู่บ้านที่ ผม กับ เตี้ย ลูกพี่ลูกน้องของผมอาศัยอยู่นั้น 

ไม่ได้ห่างจากทางรถไฟนั้นสักเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อ ทุกๆครั้งที่รถไฟ วิ่งผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวขึ้น หรือ เที่ยวล่อง ก็จะมีการบีบแตรเป็นระยะเสมอ ทั้งนี้ ก็คงเพื่อเป็นการปกป้องกันไม่ให้ ผู้คนหรือ รถที่กำลังจะข้ามทางนั้น  เกิดอันตราย ซึ่งตลอดแนวของทางรถไฟนั้น

Advertisement

Advertisement

ก็จะมีจุดข้ามหลักอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่ชาวบ้านทุกคนได้เรียกกันว่า นิ้งหน่อง นั่นเอง

จุดนี้เอง จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว  

โดยสำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว การที่จะต้องอ้อม ไปไกลๆ เพื่อที่จะข้ามทางรถไฟนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะทำเลยอย่างแน่นอน  แม้ว่าทุกคนจะรู้ซึ้งถึงความปลอดภัยเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

 โดยเกือบทุกคนในหมู่บ้านมักจะหาทางลัด ในการข้ามทางรถไฟในรูปแบบที่ตัวเองถนัดเสมอหรือ ถ้าหากว่านาของใคร  ได้มีพื้นที่ใกล้ทางรถไฟ ก็มักจะเอาดินไปถม หรือ หาวิธีในการข้ามทางรถไฟให้ได้รวดเร็วที่สุด 

ลุงก้านแกเป็นคนในหมู่บ้าน ที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ที่มีอายุประมาณ 50 กว่าปีแล้วในตอนนั้น   แกเป็นคนที่ดำรงชีพด้วยการหากบเขียด และ ใส่เบ็ตหาปลา ในยามค่ำคืนเพื่อมาขายที่ตลาดเช้า บริเวณสถานีรถไฟอยู่เป็นประจำ

Advertisement

Advertisement

 อยู่มาวันหนึ่ง เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะใครเลยจะรู้ว่า เสียงบีบแตรในยามค่ำคืนสุดท้ายของคืนนั้น จะเป็นที่มาของการเสียชีวิตของลุงก้าน  

โดยศพของลุงก้านนั้น ถูกรถไฟชนประเด็นกระจุยกระจายเป็นเศษเนื้อเต็ม สองข้างทางไปหมดซึ่งรางรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นหิน ที่เป็นหินรางรถไฟ และ ไม้หมอนรถไฟ  ก็ยังเปื้อนเต็มไปด้วยคราบเลือดของลุงก้านเหม็นคาวคละคลุ้ง ไปหมด อยู่ข้างทุ่งนาของตัวเอง ศพของลุงไม่เหลือชิ้นดีให้รดน้ำศพแม้แต่น้อย

ครอบครัวของแก และ ชาวบ้านทุกคนต่างลงความเห็นว่า ให้นำศพของลุงก้านนั้นไปทำพิธีภายในวันเดียว และ วันถัดไปให้เผาได้เลย เนื่องจากว่าเป็นศพที่เสียชีวิตฉับพลัน หรือ ที่มีการเรียกกันว่า "ตายโหง " นั่นเอง ประเพณีทางภาคอีสานส่วนมากแล้ว  จึงไม่นิยมเก็บศพไว้นาน 

และ ห้ามที่จะนำศพเก็บไว้ที่บ้านอย่างเด็ดขาด เมื่อเสร็จธุระทุกอย่างจากการชันสูตรแล้ว  ตลอดทั้งวันจนถึงในคืนวันนั้น ภายในอาณาเขตของ วัดภายหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียงร้องไห้ระงมของครอบครัวของลุงก้าน มีป้า แจ๋ว ภรรยาร้องห่มร้องไห้ พร้อมกับลูกๆอีก 3 คนซึ่ง ยังไม่โตเท่าใดนัก

Advertisement

Advertisement

หลังจากเสร็จจากพิธีสงฆ์  จวบจนงานศพได้ดำเนิน ไปถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ในระหว่างที่ผม และ เตี้ย กับอีกหลายๆคนกำลังช่วยงานหั่นหอม และ ทำกับข้าวกับบรรดาผู้หญิง และ คนแก่ในงาน

 ทันใดนั้น ภายในงานกลับหยุดนิ่งเงียบ เสียงวงไพ่เสียงวงไฮโล ที่เคยส่งเสียงดังเฮฮามาตลอด

ก็พลอยหยุดไปด้วย  เนื่องจากมีเสียงของหมาเห่า และ หอนอย่างโหยหวนดังกังวาลรอบทิศทาง เสียงหมาหอนนั้น ดังต่อเนื่องยาวเกือบ 20 นาทีเห็นจะได้ จึงทำให้คนภายในงานที่กำลังล้างถ้วยจานที่อยู่ใกล้บ่อน้ำห่างจากตัวอาคารของวัดสักระยะนึง ถึงกับทนไม่ได้

 วิ่งหนีออกจากที่ล้างจาน กลับเข้ามาในเขตศาลาเลยทีเดียว

ซึ่งในงานศพในขณะนั้นมีคนอยู่ประมาณ 20 คนเห็นจะได้

  ในจังหวะเดียวกันนั้นได้มีเสียง  แตรของรถไฟ ซึ่งดังมาไกลๆ บวกเข้ากันกับอากาศหนาวเย็นยะเยือก ในตอนนั้น ทำให้บรรยากาศสยองลงไปอีก ซึ่งในตอนนั้นทุกคนต่างน่าจะคิดคล้ายๆกันว่า ผู้ที่เสียชีวิตและจากไปอย่างไม่สงบนั้น อาจจะยังรู้สึกเสียดาย และ เสียเสียใจกับการจากไปของตัวเองยิ่งนัก ในทันใดนั้น ได้มีแว่วเสียงสะอื้นร่ำไห้ ของผู้ชาย ดังคราง ฮือฮือ อยู่ไปทางป่ากล้วยท้ายวัด  พร้อมกันกับเรื่องเหลือเชื่อ ที่มีลมกรรโชกแรง จนกิ่งไม้ไหว ลมแรงจนถึงขนาดที่ว่า เต็นที่จัดงานศพเกือบจะล้มลงเลยทีเดียว ต้องมีคนไปช่วยกันจับไว้

 ตัวของผู้เล่าเองนั้น ในระหว่างที่เกิดเหตุยังเป็นเด็กรุ่นๆอายุประมาณ 16 ปี เห็นจะได้แต่ก็จำภาพติดตานั้นได้เป็นอย่างดี  

เพราะที่ชายทุ่งที่เลยเขตป่ากล้วย ไปจะเป็นพื้นที่โล่งมองต่อไปเป็นทุ่งนา และเลยไปสู่รางรถไฟ ที่มองเห็นอย่างไกลๆ  ในเวลานั้นกลับได้เห็นร่างของใครคนนึง ยืนอยู่ไกลๆ และ ไม่เข้ามาในงาน ซึ่งไม่น่าจะใช่แขกที่มาร่วมงานเป็นแน่   

ผู้ที่เป็น ภรรยา ของผู้เสียชีวิต หรือ ป้าแจ๋ว ก็ได้แต่ ร่ำไห้โหยหวนปานใจจะขาด เพราะ เชื่อได้เลยว่านั้นเป็นวิญญาณของสามีของแก  ซึ่งยังคงวนเวียน อยู่ที่จุดเกิด แม้ว่าจะได้มีการทำพิธีเชิญดวงวิญญาณมาแล้วก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นดำเนินอยู่ประมาณ ไม่ถึง 10 นาที แต่อึดใจนั้นมันเหมือนยาวนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อร่างดังกล่าวนั้นค่อยๆจางหายไป ต่อหน้าต่อตาของสายตาทุกคู่  ลมกรรโชกแรงและอากาศที่กำลังแปรปรวนอยู่ก็ได้สงบลงอย่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด เสียงยายที่เป็นญาติของผู้ตายได้พูดว่า ก้านเอ้ย

ไปดีเถอะอย่าห่วงพวกเขาเลย จวบจนถึงวันต่อมา ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น อีก 

เลย งานศพของลุงก้าน ก็ได้ผ่านไปอย่างเรียบร้อย โดยที่มีลูกลุงก้านบวชเป็นเณรหน้าไฟ 

ให้หนึ่งคน   และเรื่องทั้งหมดก็จบลง  โดยที่ยังคงความหลอน และระทึกใจให้กับทุกคนที่ได้ประสบเหตุผ่านมาอย่างต่อหน้าต่อตา  จวบจนทุกวันนี้อย่างไม่คลายเลยจริงๆ.

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์