อื่นๆ

สัมผัสที่เกลียด

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
สัมผัสที่เกลียด

                                                                                                       สัมผัสที่เกลียด

                นี่เป็นเรื่องของกร รุ่นน้องที่ผมรู้จัก เธอทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ และเธอมีสัมผัสที่หก แม้จะไม่รุนแรง แต่เธอสัมผัสได้ ทว่าเธอกลับไม่อยากมีสัมผัสนั้น เพราะเธอเกลียดและกลัวความสามารถนี้อยู่แล้ว เธอไม่ชอบ เธอกลัว และไม่มีวันต้องการ

                ไม่มีใครเชื่อเธอ ผมเองก็ยังไม่เชื่อเธอในตอนนั้น กระทั่งครั้งนั้นเธอทักผมด้วยประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค

                “แม่พี่ห่วงพี่มากนะ แม่พี่หน้าเหมือนพี่มาก ตัดผมสั้น หยักศก แล้วแม่ก็ฝากบอกด้วยว่าอย่าโทษตัวเอง พี่ไม่ได้ทำให้แม่ตาย”

                ไม่มีใครเคยเห็นแม่ผม กรด้วย รูปใบสุดท้ายถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสารอย่างดี หรือต่อให้กรจะเคยเห็นรูปแม่ผม เธอก็ไม่มีวันที่จะรู้แน่นอนว่าเรื่องราวที่ผมมีเป็นปมฝังใจคืออะไร

                ย้อนกลับไปเมื่อปี 2544 นั่นคือปีสุดท้ายที่ผมในวัย 8 ขวบได้อยู่กับแม่ของผมที่ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ก่อนหน้านั้นแม่ท้อง ผมดีใจเหลือเกินที่จะมีน้อง แต่ด้วยภาวะด้านเศรษฐกิจ แม่จึงต้องทำงานหนักทั้งๆ ที่ตนท้อง สุดท้ายแม่ก็ทรุด และน้องสาวของผมก็เสียชีวิตในท้อง

Advertisement

Advertisement

                วันจันทร์ หมอผ่าน้องออก ด้วยภาวะครรภ์เป็นพิษ แล้วแม่ก็เหมือนอาการดีขึ้นมาทันตาเห็น แม่บอกว่าอีกไม่กี่วันจะกลับบ้าน ผมจึงไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่เพิ่งพบเจอกันในโรงพยาบาล สืบต่อกระทั่งถึงวันนั้น วันพุธที่แสนเศร้าโศก พยาบาลมาตามผมที่บ้าน เพราะผมมานั่งดูหนังกับลูกชายเธอ เธอบอกให้ผมขึ้นไปหาแม่...แล้วผมก็ขึ้นไปในวินาทีที่ผ้าสีขาวเลื่อนขึ้นถึงเพียงอก คลุมร่างแม่ต่อหน้าต่อตา ผมทรุดลงร้องไห้ดีดดิ้น ผมมาไม่ทันกระทั่งเอ่ยคำลาแม่ด้วยซ้ำ

                ทั้งๆ ที่ยายบอกว่าแม่เรียกหาแต่ผมก่อนที่จะตาย แล้วคำสุดท้ายที่แม่เรียกชื่อผม ท่านบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก่อนจะสิ้นใจไปทั้งน้ำตา...

                ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้น และจดจำรวมทั้งเอาแต่โทษตัวเอง ว่าถ้าผมมาให้กำลังใจแม่ อยู่กับแม่ให้นานกว่านั้น แม่ก็จะแข็งแรง มันเป็นปมด้อยในหัวใจผมมาตลอดสิบกว่าปี กระทั่งได้มารู้ว่าแม่ยังไม่ไปไหน นี่เป็นอีกครั้งที่ผมร้องไห้อย่างไม่อาย

Advertisement

Advertisement

                “พี่เรียกหาแต่แม่...แม่พี่เลยไม่ไปไหน” กรบอกแบบนั้น ผมจึงรู้ว่าความจริงแล้วผมไม่ได้ทำให้แม่ตาย แต่ผมเองที่ทำให้แม่ซึ่งตายแล้วไม่ไปไหนสักที หลังจากได้รับรู้จากกรแล้ว ผมจึงไปทำบุญ แล้วเอ่ยบอกกับแม่ว่าไม่ต้องห่วงอีกแล้ว ผมจะไม่คิดมากอีกแล้ว และขอให้แม่ไปอยู่บนสวรรค์

                กรที่มากับผมบอกว่าแม่ผมไปแล้ว ไม่ได้ยืนข้างผมอีกแล้ว แม้ลึกๆ ในใจจะเคว้งคว้างพิกล แต่เพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เหตุการณ์นั้นเอง ทำให้ผมเชื่อในตัวกรอย่างถึงที่สุด ว่าเธอมีสัมผัสที่พิเศษกว่าใครๆ ทุกครั้งที่ผมจะไปเที่ยวไหน ไปทำอะไร ผมมักจะให้เธอดูให้ก่อน เช่นจะพักโรงแรม ก็ให้กรเข้ามาดูในห้องให้ก่อน ถ้าเธอไม่โอเค ผมจะเปลี่ยนห้องทันที นั่นจึงทำให้ผมและกรสนิทกันมาก เธอแต่งงานกับเพื่อนของผมด้วย ยิ่งทำให้ความสนิทสนมทบทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม

Advertisement

Advertisement

                กรมักจะทายทักอะไรที่เธอสามารถพูดได้ เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวของพี่คนหนึ่ง ไม่ทำความสะอาดรูปปั้นแม่นางกวักเลย กรบอกว่า “เห็นแม่นางกวักหน้าหมองไม่ยิ้มแย้ม” แล้วหลังจากนั้น พอพี่เขาทำความสะอาดรูปปั้น ก็เริ่มขายดีมากขึ้น จากวันละพันสองพัน กลายเป็นวันละสี่ห้าพันอย่างน่าเหลือเชื่อ

                แล้วเหตุการณ์หนึ่ง ก็เป็นเหตุการณ์ที่ยืนยันว่า...สัมผัสของเธอรุนแรงเหลือเกิน

                บ้านของกรตัวอยู่ข้างถนนที่เป็นเส้นทางตรงและยาว ก่อนที่จะเป็นโค้งที่ค่อนข้างอันตราย ในวันเกิดเหตุ มีรถตำรวจวิ่งผ่านถนนจนชาวบ้านแตกตื่น เมื่อเกิดเหตุเด็กวัยรุ่นขับรถแข่งกันมาบนถนนเส้นนั้น ก่อนจะเกี่ยวกันเองและทำให้หนึ่งในนั้นพุ่งออกนอกเส้นทางไปยังอีกฝั่งถนน ประสานงากับรถปิกอัพที่ขับมาทางตรงอย่างเร็วเช็ดกัน

                รถของเขามัดเข้าไปใต้รถยนต์คันนั้น และถูกลากไปมากกว่า 100 เมตร ร่างกายเบี้ยวบิดนองเลือด เสียชีวิตคาที่ ผมเห็นเหตุการณ์ผ่านไลฟ์สดของชาวบ้านแถวนั้น สภาพศพของวัยรุ่นคนนั้นไม่น่ามองเท่าไหร่นัก และกรก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากเธอทำงาน รวมทั้งเธอก็ไม่เคยรู้จักผู้เสียชีวิตเลยด้วยซ้ำ

                กรเล่าว่าวันต่อมาหลังจากที่เธอรู้ข่าว เธอขับผ่านถนนเส้นนั้นกลับบ้าน ระหว่างทางกรรู้สึกได้เลยว่าเหมือนมีไอแห่งความเศร้าที่รุนแรงมากปกคลุมอยู่ตลอดทาง ทั้งๆ ที่สามีของเธอบอกไม่รู้สึกอะไร กระทั่งเมื่อเผาศพเสร็จแล้ว วันต่อมาเป็นวันพระ กรขับรถกลับบ้านปกติ แต่วันนี้เธอต้องกลับคนเดียวเพราะสามีทำโอที พอถึงทางตรง กรรู้สึกขึ้นลุกท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นเยียบอยู่ตลอดเวลา เธอสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ทว่าใบหน้ากลับโซมด้วยเหงื่อเม็ดโต ปลายทางตรง มีดวงไฟมอเตอร์ไซค์ปรากฏ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกใจชื้น กระทั่งขับสวนกันไป เธอหันสบมองอีกฝ่าย ด้วยไฟหน้าที่จ้าเกินไปเธอจึงมองไม่ชัด แต่ก็ไม่ได้สนใจ กรยังขับต่อไป

                แล้วก็มีดวงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์พ้นโค้งมาอีกคัน เปิดไฟสูงมาตลอดทาง และเสียงท่อแต่งชวนแสบแก้วหู...กรคิดในใจว่ามันคงเป็นแก๊งค์เดียวกับคันเมื่อครู่ ทว่าเมื่อขับสวนกัน เธอเผลอมองหน้าอีกฝ่ายในความสลัว ชั่ววูบนั้นกรแทบเสียหลัก เพราะเธอรู้สึกได้เพียงอย่างเดียวว่ารถคันนี้ไม่มีทางเป็นเพื่อนของคันเมื่อครู่แน่นอน

                เพราะว่ามันคือคันเดียวกัน!

                แล้วเพียงชั่วครู่ที่ขับสวนกันไป กระจกมองหลังของกรก็ไม่อาจจะมองเห็นมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล้ว

                แต่ดวงไฟดวงเดิมก็ปรากฏตรงหน้าเธออีกครั้ง

                เธอกำลังโดนผีหลอก กรจอดรถลงข้างทางทันที เพื่อตั้งสติ ถ้าเธอยิ่งกลัวและยิ่งขับตรงไป แม้ว่าบ้านจะอยู่ไม่ไกล เธออาจจะได้พุ่งเสียหลักลงข้างทางตรงไหนสักแห่งก็ได้ วิญญาณที่ตายไม่ปกติแบบนี้ ก็ต้องกลับมาตายซ้ำๆ ในเวลาเดิมอย่างนี้ กรตั้งนะโมสามจบในใจก่อนจะขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ แล้วร่างกายเธอก็แข็งทื่อ เมื่อมองตรงพื้นถนน มีร่องรอยสเปรย์สี่ขาวพ่นไว้เป็นรูปคน...จุดเกิดอุบัติเหติ

                แล้วตรงหน้าเธอในตอนนั้น เธอก็เห็นเงาดำเงาหนึ่งยืนนิ่งอยู่ เธอจำได้แม่นว่าอีกฝ่ายตัดผมทรงหัวเห็ดตามประสาวัยรุ่นวัยซน แต่บรรยากาศรอบตัวไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด เพราะกรสัมผัสได้เพียงแค่ความเศร้า...ส่วนความกลัว เธอสร้างมันขึ้นมาเอง

                “อย่าหลอกกัน ถ้าจะบอกอะไรก็สื่อมาเลย” เธอพูดเสียงสั่น ในเวลานั้น จู่ๆ รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ก็หันคอรถเองไปที่ป่าหญ้า เธอเห็นแสงสะท้อนวูบหนึ่งในพงหญ้ารกชัฏนั่น “นี่ใช่ไหม ?” กรถาม แต่เงาดำนั่นหายไปแล้ว เธอเดินไปตามแสงไฟหน้ารถ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่สะท้อนออกมานั่นคือสร้อยคอเงินที่มีล็อกเก็ตรูปหัวใจ เธอเก็บมันกลับมาก่อนที่รุ่งเช้ากรจะโทรหาผม

                เธอถามว่าคนตายไว้ผมทรงอะไร รูปร่างอย่างไร ผมจึงเปิดรูปในเฟซบุ๊กให้กรดู ก่อนเธอจะบอกว่าใช่ คนนี้แหละที่เธอเจอ ผมถึงให้เธอเล่าเรื่องทั้งหมดจนมาถึงปัจจุบัน

                หลังจากนั้นผมจึงพากรเอาสร้อยไปคืนญาติของวัยลุ่ยคนนั้นในหมู่บ้าน แล้วพากันไปทำบุญอีกครั้ง

                จากวันนั้นที่เธอแผ่เมตตาให้กับดวงวิญญาณวัยรุ่นคนนั้น กรบอกเสมอว่าทุกครั้งที่ขับผ่าน เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับอีกผ่าวกำลังกล่าวขอบคุณเธอผ่านสายลมเย็นชื่นนั่น

                และกรเองก็เริ่มภูมิใจกับเซนส์ของเธอมากขึ้นทุกทีที่ได้ช่วยเหลือใครสักคน...

                เชื่อว่าดวงวิญญาณดวงนั้นคงขอบคุณเธอ เช่นกันกับผมที่อยากขอบคุณเธอเรื่องแม่ของผมเช่นกัน...

      จบ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์