พญานาคสัตว์ในตำนานเร้นลับที่มีอิทธิพลในงานศิลปะอย่างมากในประเทศไทย ความเชื่อเรื่องพญานาคเป็นความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนานทั่วภูมิภาคโดยเฉพาะในเขตลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องราวของพญานาคโดยส่วนใหญ่แล้วจะค้นคว้าหาอ่านได้จากคัมภีร์ทางศาสนาและวรรณกรรมท้องถิ่น ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนในสมัยโบราณแต่งแต้มขึ้นเพื่อรองรับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เหมือนนปัจจุบัน ความเชื่อเรื่องพญานาคหรืองูใหญ่ ก่อนที่แนวคิดทางศาสนาจากอินเดียจะเข้ามาในเขตสุวรรณภูมิ ในภูมิภาคนี้แต่เดิมก็มีความเชื่อเรื่องงูใหญ่เป็นความเชื่อประจำท้องถิ่นอยู่แล้ว และเป็นความเชื่อที่อิงอยู่กับความเป็นธรรมชาติ ซึ่งคนในท้องถิ่นมีความเชื่อเรื่องงูใหญ่ในด้านของความอุดมสมบูรณ์ เพราะงูชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้น และความชื้นทำดินชุ่มพืชพรรณสามารถเจริญเติบโตทำการเกษตรได้ และในอีกกรณีหนึ่งงูใหญ่เป็นสื่อกลางของโลกมนุษย์กับสวรรค์ ในเรื่องราวของพญาแถนในภาคอีสาน ที่หัวบั้งไฟจะทำเป็นรูปพญานาคเพื่อเป็นตัวแทนไปขอฝนกับพญาแถน ต่อมาเมื่อศาสนาจากประเทศอินเดียได้เข้ามาในแถบสุวรรณภูมิ ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธนี้ก็มีความเชื่อเรื่องงูใหญ่เช่นกัน โดยเฉพาะทางอินเดียใต้ ซึ่งงูใหญ่ในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตจะเรียกว่า "นาค" ในคติความเชื่อของพราหมณ์นั้น นาคหรือพญานาค เป็นผู้ดูแลปกปักรักษาแม่น้ำสีทันดร เป็นแม่น้ำสายใหญ่รอบเขาพระสุเมรุ และยังทำหน้าที่เป็นสะพานสายรุ้งเชื่อมกับโลกมนุษย์และสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ราวบันได้ตามปราสาทหินสมัยอาณาจักรเขมรและราวระเบียงทางเข้า จึงแกะสลักเป็นรูปพญานาค อีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่า ชาวเขมรเกิดจากพญานาคด้วยเหตุนี้จึงทำข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จะตกแต่งด้วยรูปพญานาค ในคติความเชื่อเรื่องพญานาคในพระพุทธศาสนา จะเป็นไปตามพุทธประวัติ เช่น - พญานาคเป็นผู้ที่รับรู้การอุบัติขึ้นของพระพุทธองค์ ตามในประวัติ ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายเมื่อเสวยหมดแล้ว พระองค์ได้เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วอธิษฐานเสี่ยงทายว่าถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดทองนี้ลอยทวนกระแสน้ำ เมื่อพระองค์วางถาดทองลงบนผิวน้ำแล้วถาดทองนั้นลอยทวนกระเเสน้ำขึ้นไป 80 ศอกก็จมหายไปยังที่อยู่ของกาฬนาคราชกระทบกับถาดที่ซ้อนกันอยู่เกิดเสียงดังกริ๊กทำให้กาฬนาคราชตื่น เมื่อเห็นถาดทองใบที่ 4 วางซ้อนอยู่ก็ทราบได้ว่ามีผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว - เมื่อครั้งสิทธัตถะมหามุนีได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นจิกอยู่ 7 วัน ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เกิดลมมรสุมฝนฟ้าคนอง พญานาคมุจลินท์ที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำอันใกล้ได้เลื้อยขึ้นมาขนดตัวเป็นฐานให้พระพุทธองค์ประทับนั่ง และแผ่พังพานเหนือเศียรพระพุทธองค์เพื่อบังลมฝน (ที่มาของพระนาคปรก) จากเหตุการณ์นี้พญานาคจึงเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา นาคในเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาโดยมากเป็นผู้เคารพนับถือในพระพุทธองค์ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงพญานาคที่มักเข้ามาฟังธรรมของพระพุทธองค์ดังนั้น พญานาคจึงเป็นตัวเเทนของผู้ใฝ่รู้เป็นตัวเเทนของปราชญ์ มีความพร้อมที่จะขจัดความเป็นอวิชชา การที่สร้างราวบันไดวัดให้เป็นรูปพญานาคนาคนั้นหมายถึงความเป็นผู้พร้อมที่จะรู้ พร้อมที่จะเข้าหาพระธรรมคำสอนพร้อมที่จะตื่น อีกกรณีหนึ่ที่เรามักจะเห็นกันบ่อย ๆ คือ มกรคายนาคที่ถูกสร้างเป็นราวบันไดเป็นคติธรรมอย่างหนึ่งคือ การที่จะผุดออกจากความเป็นอวิชชา และพร้อมเป็นผู้รู้บรรลุธรรมต่อไป ในความเชื่อไม่ว่าจะเป็นศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาพุทธ มีการผสมผสานกันอยู่ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าคติความเชื่อในเรื่องของการสร้างราวบันไดให้เป็นรูปพญานาคนั้น หมายถึงเป็นการเฝ้าศาสนาสถาน และนาคเป็นสื่อเหมือนสะพานเชื่อมกันระหว่างโลกมนุษย์กับดินแดนสวรรค์ตามแบบแนวทางของศาสนาพราหมณ์ ในทางพระพุทธสาสนานั้นพญานาคเป็นตัวแทนของ ความมืดมาและสว่างไป นั้นคือการเข้าวัดฟังธรรมนั้นจากผู้ที่ไม่มีปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้วก็มีจิตใจที่สว่างมีปัญญาเป็นแนวทางชีวิต ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ในเรื่องของการเปลี่ยนสถานะของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น คือ จากมนุษย์ให้เข้าถึงความเป็นพรหมัน ในศาสนาพราหมณ์ และจากมนุษย์ธรรมดาให้เข้าถึงพระนิพพาน ในพระพุทธศาสนา ภาพถ่ายโดย พงศธร อิ่มอุดม ผู้เขียนบทความ