เมืองโคราชเป็นเมืองที่ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในประเด็นที่ว่า เมืองนี้อยู่ในภาคใดของประเทศไทยระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน สาเหตุที่เป็นประเด็นการถกเถียงก็มีอยู่ว่า เมืองโคราชหรือเมืองนครราชสีมาที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันนี้ เมื่อได้สำรวจดูแล้วพบว่าจังหวัดนี้จังหวัดเดียว มีรูปแบบศิลปะเก่าทั้งโบราณสถาน และโบราณวัตถุ มีทั้งรูปแบบทางภาคกลางสมัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ อยู่ร่วมกับ ศิลปะเก่า ในรูปแบบของทางอีสาน และลาว แต่ตัวผู้เขียนนั้นในฐานะที่เป็นนักวิชาการอิสระ และเคยได้สำรวจเมืองโคราชมาแล้วช่วงหนึ่ง จึงขอให้น้ำหนักไปทางภาคอีสานครับ เพราะรูปแบบศิลปะที่พบโดยมากร้อยละ 80 เป็นรูปแบบทางภาคอีสานและลาว ส่วนของทางภาคกลางนั้นแค่เข้ามาผสมอยู่เท่านั้น และความเป็นท้องถิ่นก็ยังมีความเป็นอีสานอยู่อย่างแยกกันไม่ออก โคราชหรือนครราชสีมาในสมัยก่อนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองนี้มีความสำคัญเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญเมืองหนึ่ง เพราะเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ ที่กองคาราวานสินค้าจากทางอีสานและลาวล้านช้างจะต้องผ่านเข้ามาพักกองเกวียน ก่อนที่จะออกจากเมืองไปยังเส้นทางดงพยาไฟ (สมัยนี้เรียกดงพยาเย็น) เพื่อไปยังอยุธยา อีกทั้งเมืองโคราชนี้ยังเป็นเมืองเศรษฐกิจที่ป้อนทรัพยากรให้กับอาณาจักรศูนย์กลางเพื่อทำการค้าขายกับชาวต่างชาติอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ครั่ง หนังกวางและหนังสัตว์อื่นๆ ชัน (สันนิษฐานว่าเป็นชันมะเหลื่อม) ไม้กฤษณา ฯลฯ นอกเหนือจากเรื่องการค้าแล้วอีกประการหนึ่งที่อยุธยาให้ความสำคัญกับเมืองโคราชคือ เรืองความมั่นคงของอาณาจักรศูนย์กลาง ดังนั้นทางกรุงศรีอยุธยาจึงมีความจำเป็นต้องเข้ามาพัฒนาเมืองโคราชให้มีความมั่นคงเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ภูมิภาคทางภาคอีสานนั้น ช่วงอิสานตอนบนมีอาณาเขตติดกับอาณาจักรล้านช้างร่มขาว (ลาว) และช่วงอีสานตอนล้างติดกับเมืองเขมรหรือกรุงกัมพูชา นั่นเท่ากับว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นมีโอกาสรับศึกทั้งสองทาง ด้วยเหตุนี้อยุธยามีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททั้งงบประมาณและกำลังคนเข้ามาปรับปรุงสภาพของเมืองโคราชให้มีความมั่นคงเพื่อรองรับความเป็นเมืองหน้าด่าน ป้องภัยจากการรุกรานของข้าศึก และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันรักษาเมืองนั้นคือกำแพงเมือง กำแพงเมืองโคราชสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ที่เท่าไหร่นั้นไม่สามารถระบุได้ แต่ในหนังสือรายงานการขุดค้นแนวกำแพงเมืองนครราชสีมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปี พ.ศ. 2549 ของกรมศิลปากร ได้ระบุไว้ว่า กำแพงเมืองนครราชสีมาสร้างขึ้น ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่หลังรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม นั้นก็หมายความว่ากำแพงเมืองโคราชสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ต่อมาได้รับการปรับรุงซ่อมแซมในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ลักษณะกำแพงเมืองโคราชที่สร้างได้รับอิทธิพลตามแบบตะวันตกหรือพวงฟรั่ง ที่เข้ามาในกรงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 มีประตูทางเข้าออกทั้ง 4 ทิศคือ ประตูพลเเสนทางทิศเหนือ ประตูชัยณรงค์หรือประตูผีทางทิศใต้ ประตูพลล้านทางทิศตะวันออก และประตูชุมพลทางทิศตะวันตก ประตูชุมพล เป็นประตูเดียวที่ยังเหลืออยู่แต่ก็ได้รับการบูรณะมาแล้ว และยังทำให้ผู้ศึกษารู้ถึงรูปแบบของศิลปะกรรมได้อีกว่า กำแพงเมืองนครราชสีมานั้นถึงแม้จะได้รับอิธิพลจากต่างชาติ แต่ก็ยังมีความเป็นสยามอยู่ กล่าวคือบนแท่นกำแพงเมืองนั้นส่วนที่กำบังจะทำเป็นรูปใบเสมาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทางสยามประเทศ วัสดุที่นำมาใช้ในการก่อกำแพงเมืองมี ฮิฐเผา ศิลาแลง และหินทราย โดยลักษณะของการก่อสร้างนั้นจะนำอิฐสองก้อนมาเรียงกันและสลับแนวตั้ง แนวนอนแล้วก่อขึ้นเป็นชั้นๆ บนราวกำเเพงเมืองทำเป็นใบเสมา เพื่อเป็นที่กำบังอาวุธ และใต้ระหว่างใบเสมาเจาะช่องกากบาท ใช้เป็นช่องสังเกตการณ์ และยังใช้เป็ดที่สอดปืนเพื่อยิงตอบโต้ข้าศึก ในส่วนของประตูเมืองตรงกรอบทั้งสองข้างจะก่อด้วย ศิลาแลง และหินทราย ซึ่งหินเหล่านี้รื้อถอนมาจากปราสาทเขมรปราสาทใดปราสาทหนึ่งในโคราช เห็นได้จากหินหลายก้อนยังมีลวดลายแกะสลักตามแบบศิลปะเขมรปรากฏให้เห็นอยู่ ด้านบนประตูเมืองทำเป็นหอสังเกตุการณ์สร้างด้วยไม้ เป็นรูปแบบคล้ายกับเรือนไทยซึ่งได้รับการบูรณะไปแล้ว เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวก้องกับประตูเมืองและกำเเพงเมืองโคราชนั้นถึงจะไม่มากนักแต่ก็พอมีให้รับรู้อยู่บ้าง เท่าที่ผู้เขียนพอได้ทราบก็มีอยู่สองเรื่อ ดังนี้ - หลังจากสิ้นรัชการสมเด็จพระนารายณ์แล้ว พระเพทราชาได้ขึ้นครองอาณาจักรอยุธยา พระยายมราชสังข์ข้าราชการเก่าในสมเด็จพระนารายณ์ที่ได้รับตำแหน่งมาปกครองเมืองนครราชสีมา เกิดแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นต่ออยุธยา ทำให้พระเพทราชามีรับสั่งให้นำกองทัพไปปราบ ด้วยความที่โคราชเป็นเมืองที่มีปราการแข็งแรง ทำให้เข้ายึดเมืองได้ยาก และเกิดการสูญเสียกำลังพลไปมากมาย กองทัพอยุธยาจึงต้องใช้วิธีการล้อมเมืองเพื่อให้เกิดความอดอยาก ล้อมเมืองอยู่สองปีจึงยึดเมืองได้สำเร็จ - ในสมัยรัชการที่ 3 สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าอนุวงศ์ แห่งอาณาจักรล้านช้างทางฝั่งลาว ยกทัพจากเวียงจันทร์ เข้าตีเมืองโคราช และสามารถรุกเข้าเมืองได้ เพราะได้ทำลายกำแพงเมือง แต่ทำลายตรงด้านใดนั้นก็ยังไม่สามารถตีความได้ หลังจากที่พระองค์ยกกองทัพเข้าเมืองได้แล้วก็ทำการกวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลย กลับไปยังเวียงจันทร์ ระหว่างทางได้พักทัพที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองโคราชจึงใช้อุบายก่อกวนทองทัพลาว จนทำให้กองทัพลาวแตกในที่สุด เกิดเป็นวีรกรรมของท่านท้าวสุรนารี หลังจากเสร็จศึกเจ้าอนุวงศ์แล้วเมืองโคราชก็สงบมาโดยตลอด และบทบาทของกำเเพงเมืองก็ถูกลดลง แม้แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไม่มีปรากฏว่ากำแพงเมืองโคราชถูกใช้ในการรับศึกสงครามแต่อย่างใด เนื่องด้วยวิทยาการเทคโนโลยีด้านอาวุธเปลี่ยนไป และในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25 การทำสงครามแบบประจัญบานด้วยอาวุธในระยะประชิดได้หมดไปแล้ว ทำให้กำแพงเมืองและประตูเมืองแบบดั้งเดิมกลายเป็นเพียงแค่แหล่งท่องเที่ยวไปโดยปริยาย ปัจจุบันประตูชุมพลเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองนคราชสีมา เห็นเเหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสต์และศิลปะกรรมโบราณ เป็นแหล่งนัดพบ เป็นลานทำกิจกรรมสร้างสรรค์ของกลุ่มวัยรุ่น เป็นสถานที่จัดงานต่างๆ ของเมืองโคราช และประตูชุมพลนี้ยังมีเรื่องราวของความเชื่อที่กล่าวถึงกันมาหลายชั่วอายุคน ว่าถ้าใครได้ลอดประตูนี้ จะได้กลับมาโคราชอีก หรือจะได้มาอยู่ที่เมืองโคราชไปตลอด บ้างก็ว่าจะได้แต่งงานอยู่กินกับคนโคราช และหลายคนก็บอกว่าจริงครับ ยังไงประเด็นความเชื่อนี้ก็อ่านพอให้อมยิ้ม พอเป็นสีสรรค์นะครับ ประตูชุมพล ประตูที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังหลงเหลือให้เห็น อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองโคราช หลังที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือย่าโม ยังไงก็ลองไปลอดประตูเมืองดูนะครับภาพถ่ายโดย พงศธร อิ่มอุดม ผู้เขียนบทความ