20/10/19 (อาทิตย์) - สืบเนื่องจากได้รับเชิญจากม.ขอนแก่นให้ไปบรรยายในหัวข้อ 'อาชีพนักแปล' ให้นักศึกษาปี 2 ฟัง วันนี้ก็เลยขับรถไปขอนแก่น แผนคือกะจะไปนอนที่นั่นคืนนึงชิลๆ ตอนเช้าไปบรรยายอย่างสดชื่นและขับรถกลับอย่างสนุกสนาน ปรากฏว่าอาหารเป็นพิษมาตั้งแต่วันพุธ มันนานเกินไปแล้ว... นี่ขับรถมาขอนแก่นเลยยังไม่ได้เตรียมเนื้อหาที่จะพูดวันจันทร์เลย แถมยังกินอะไรไม่ได้ เพราะกินปุ๊บเข้าห้องน้ำปั๊บ ละมันก็เพลียมาก อยากตะโกนดังๆปลุกใจตัวเองว่า 'สู้ว้อยยยย' แล้วลุยกับมันให้ตายไปข้าง แต่อาหารเป็นพิษคือการปวดท้องตุ่ยๆตลอดเวลา จะไปสู้มันยังไงฟะ วิธีเดียวที่ใช้สู้กับมันได้จริงๆคือการกัดฟันทน...กัดฟันทนจนกว่ามันจะผ่านพ้นไป ซึ่งนี่ไม่แตกต่างอะไรจากการแปลงานเลย หนังสือเล่มนึงสมมติมี 300 หน้า ถ้าสนพ.ให้เวลาทำงาน 30 วัน คุณก็ต้องแปลวันละ 10 หน้า การแปล 10 หน้าต่อวันนั้นเหนื่อยสาหัส คุณบากบั่นทำมาแล้ว 15 วัน ยังเหลืออีกครึ่งทาง ลึกๆแล้วเครียดแทบตาย อยากออกไปผ่อนคลาย อยากลืมเรื่องงานไปบ้าง แต่ขอเพียงว่อกแว่กแค่ชั่วโมงเดียว วันนั้นคุณก็จะสมาธิหลุด กลายเป็นแปลได้ไม่ถึง 10 หน้า พอแปลได้ไม่ถึงเป้ามันก็จะทบเป็นของวันต่อไป กลายเป็นหลังจากนั้นคุณต้องแปลวันละ 12 หน้าบ้าง 14 หน้าบ้าง เห็นมั้ยว่ามันเป็นงานที่ยิ่งทำก็ยิ่งเครียด ยิ่งแปลไปไกลก็ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่ ครั้นพอปลุกปลอบใจ คิดจะฮึดสู้กับมันไปเลย ลุยให้มันจบๆไป!! แต่ไม่ว่าบิวท์ตัวเองมาแค่ไหน สุดท้ายคุณก็แปลได้ไม่เกินวันละ 10 หน้าอยู่ดี งานไม่มีทางเสร็จในบัดดล ในที่สุดคุณก็ได้แต่กัดฟันทน แล้วจะบอกว่าในฐานะคนที่แปลหนังสือเป็นอาชีพอย่างผม ผมไม่ได้แปลวันละ 10 หน้านะ ผมแปลวันละ 20 หน้า(พูดละเศร้า ขอใส่ emo หนึ่งตัว T T) นี่ล่ะคือเรื่องราวความสำเร็จส่วนใหญ่ในโลก มันจำเจ น่าหดหู่ และชวนให้เหนื่อยหน่ายแบบนี้ล่ะ ที่เห็นในภาพยนตร์ทั่วไปว่าความสำเร็จของคนโน้นคนนี้มันช่างน่าตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลใจ นั่นมันคือศาสตร์แห่งการทำหนัง! เค้าเรียกว่า Cinematography!! คือถ้าไม่ทำเรื่องราวให้มันน่าตื่นเต้น หนังก็ไม่สนุก คนก็ไม่ซื้อตั๋ว แต่ความสำเร็จในชีวิตจริงมันก็เหมือนการต่อสู้กับอาหารเป็นพิษนั่นล่ะ คุณต้องกัดฟันทนทำอะไรบางอย่างซ้ำๆซากๆครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าความสำเร็จจะมาถึง 21/10/19(จันทร์) - ตื่นไปบรรยายด้วยความอ่อนเพลีย อาหารเป็นพิษยังไม่หาย เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย ขึ้นไปบรรยายบนเวทีต่อหน้านักศึกษานับร้อยด้วยความรู้สึกตุ่ยๆ เสียใจมากที่การบรรยายครั้งนี้วางแผนเตรียมเนื้อหาไว้หลายวันและมีเนื้อหาใหม่ๆมากมายที่อยากเอามาแชร์ แต่ดันป่วยจนไม่ได้เตรียมอะไรเลย ขนาดเมื่อคืนยังปวดท้องจนนอนไม่หลับ สุดท้ายได้แต่ขุดเนื้อหาเดิมๆขึ้นมาพูด แต่เอาเถอะ...เด็กม.ขอนแก่นยังไม่เคยฟังนี่เนาะ เพราะงั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร - บรรยายเสร็จขับรถกลับเลย กะจะยิงยาวรวดเดียวถึงกทม. แต่เอาเข้าจริงแวะโคราชก่อน ไปเข้าห้องน้ำที่ Terminal 21 -*- - ไหนๆก็อยู่โคราชแล้วเลยโทรหาเพื่อนนักแปล(เพื่อนคนนี้แปลซับไทเทิลหนัง) ว่าจะชวนออกมาเจอกัน หาที่นั่งดื่ม(กาแฟ) ละก็อัพเดตชีวิตซะหน่อย ปรากฏว่าเพื่อนชวนค้างบ้านเลย 22/10/19(อังคาร) - จริงๆเมื่อคืนไม่คิดจะค้างบ้านเพื่อนหรอก เพราะว่าเสื้อผ้าหมดและไม่ค่อยมีความพร้อม เกรงจะสร้างภาระให้สังคม แต่เพื่อนก็ต้อนรับขับสู้มาก และเหตุผลสำคัญอีกข้อที่ทำให้อยากค้างขึ้นมาก็คือระหว่างทางขับรถไปอีสานจะมีหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ตั้งอยู่(จัดสร้างโดยสรพงษ์ ชาตรี) ผมเห็นหลวงพ่อมาตั้งแต่ยังเป็นองค์สีดำเปลือยๆจนกระทั่งมีอุโบสถครอบ ผ่านทีไรก็อยากเข้าไปกราบ แต่ไม่เคยมีโอกาสสักที ปรากฏว่าบ้านเพื่อนอยู่ใกล้ๆองค์หลวงพ่อเลย เรียกให้ถูกคือแทบจะติดกับวัด นี่เป็นนิมิตหมายที่ดี ผมเลยตัดสินใจขอรบกวนบ้านเพื่อนหนึ่งคืน พอตอนเช้าตื่นมา HP ก็เต็ม(หลับสนิททั้งที่แปลกที่และนอนโซฟา แถมอาการอาหารเป็นพิษก็เริ่มจะดีขึ้นแล้ว) ช่วงสายๆเพื่อนก็อาสาพาเที่ยววัดแห่งนี้ เข้าวัดด้วยความรู้สึกเหมือนไป Theme Park ที่ต่างประเทศ คือตื่นตาตื่นใจกับการไหว้พระตามจุดต่างๆ กินราดหน้าฟรี(ฟรีและอร่อยมาก) ให้อาหารปลา ฯลฯ มือที่ปรากฎในรูปนี้ ด้านซ้ายเป็นมือของนักแปลนิยายเจ้าของผลงานมากมาย ด้านขวาเป็นมือของนักแปลซับไทเทิลชื่อดัง ตั้งงบทำบุญไว้พันนึง ซึ่งนี่ก็เยอะแล้วนะ แต่ไปๆมาๆยังหยอดตู้เกินงบไปอีก มีจุดนึงทำบุญแล้วพี่เจ้าหน้าที่ยื่นพระมาให้องค์นึง อีกจุดนึงทำบุญไปแล้ว พี่เจ้าหน้าที่ยื่นล็อตเตอรี่มาให้ห้าใบ บอกทำบุญตรงนี้แล้วมีล็อตเตอรี่แจกให้ด้วย โอ้...ผมก็คิดในใจว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ถูกก็ช่าง แต่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกละกัน - ขากลับแวะกินแฮมเบอร์เกอร์ฟาร์มโชคชัย อยากกินมานาน วันนี้ฟินแล้ว ครั้งที่แล้วที่ขับรถจากอีสานกลับกทม.(ทริปนั้นยกกองไปทำงานที่สกลนคร) ตอนนั้นผมเสนอน้องๆแล้วว่าจะพาไปกินเบอร์เกอร์ฟาร์มโชคชัย แต่น้องคนนึงดันบอกว่ามีร้านสเต๊กป้าหรือลุงอะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้ อร่อยมากและถูกมาก และก็ยืนยันว่าอยากไปกินร้านนั้น ผมก็เลยลองดู ปรากฏว่ารสชาติโคตรแย่ เหนียวและฝืดคอ กลับถึงกทม.ยังแน่นท้องจนต้องไปหาหมอ หมอบอกอาจเป็นเพราะกินอะไรไม่สะอาดมา หลังจากนั้นไม่เอาอีกแล้ว ผมจะไม่เชื่อรสนิยมคนอื่นอีกแล้ว โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าของกินร้านนั้นร้านนี้อร่อยมากและถูกมาก และแล้ววันนี้ก็ได้มาฟาดเบอร์เกอร์ฟาร์มโชคชัยสมความตั้งใจ(ที่ใช้คำว่า 'ฟาด' เพราะซัดไป 2 ชิ้น ทั้งที่เพิ่งจะหายจากอาหารเป็นพิษมาเมื่อคืนเองนะ) .