หากจะพูดถึงเมืองร้อยเอ็ด คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า ร้อยเอ็ดนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมากนับกันแทบไม่ไหวกันเลยค่ะ ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นคนร้อยเอ็ด ได้เคยสัมผัสมาหลายๆ แห่ง ตั้งแต่เด็กๆ ยังไปไม่ครบทั่วจังหวัดเลยค่ะ บางแห่งเกิดขึ้นก่อนที่ผู้เขียนจะเกิด บางแห่งเกิดขึ้นตอนเด็กๆ บางแห่งพึ่งเกิดขึ้นมาไม่นานค่ะ แต่รู้แค่ว่า รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่ได้ไปเที่ยว ความทรงจำนั้นยังคงติดอยู่ในใจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบึงพลาญชัย พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืด วัดบูรพาภิรามที่มีองค์พระใหญ่พระคู่บ้านคู่เมืองร้อยเอ็ด หอโหวดสูง 101 ชั้นมองเห็นรอบทิศทางในตัวเมืองร้อยเอ็ด และที่สำคัญคือ ชั้นบนสุดมีระเบียงกระจกแก้วไว้เดินวัดใจกันไปเลยค่ะ และอีกแห่งหนึ่ง ถ้าจะไม่พูดถึงคงเป็นไปไม่ได้คือ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม ชื่อเดิมเรียกว่า วัดผาน้ำทิพย์ หรือวัดผาน้ำย้อย นอกจากขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวร้อยเอ็ดแล้ว เจดีย์ยังมีลวดลายด้านนอกด้านในที่งดงามตระการตาต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก รวมถึงวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นธรรมชาติและพื้นที่รอบด้าน ถือว่าเป็นที่ประทับใจสุดๆ แห่งหนึ่งของผู้มาเยือนแน่นอนค่ะ จะสวยงามและยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือแค่ไหน ตามไปชมกันได้เลยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ก่อนอื่นต้องขอเล่าประวัติเจดีย์แห่งนี้กันสักนิด แบบพอหอมปากหอมคอ ให้รู้ว่าที่ไปที่มาเป็นไงกันบ้างค่ะ พระมาหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่ในวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม ชื่อเดิมคือ วัดผาน้ำย้อย หรือวัดผาน้ำทิพย์ บนเทือกเขาภูเขียว บ้านโคกกลาง ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด พระมหาเจดีย์ชัยมงคลได้รับการออกแบบโดยกรมศิลปากร เป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างแบบอีสาน และแบบภาคกลาง เริ่มก่อสร้างวางศิลาฤกษ์และลงเสาเอกเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 3531 แล้วเสร็จในวันที่ 20 กรกฎาคม 2539 และได้ทำการยกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนักรวม 60 กิโลกรัม เป็นพระมหาเจดีย์ชัยมงคลองค์ใหญ่ ซึ่งด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยหลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยรับมอบจากสมเด็จพระสังฆราชประเทศศรีลังกา และท่านยังได้เสด็จมาส่งถึงประเทศไทยอีกด้วยค่ะ ทำให้เกิดเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทุกหมู่เหล่า ประชาชนต่างหลังไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมากราบสักการะขอพรไม่ขาดสาย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมความศรัทธาและความภาคภูมิใจของชาวร้อยเอ็ดอีกด้วยค่ะ ตอนเด็กๆ ผู้เขียนอายุ 9 ขวบ ยังจำภาพขณะก่อสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคลได้ค่ะ ตอนนั้นยังเป็นแค่โครงสร้างปูนเปลือย ก่อขึ้นไปหลายชั้น เป็นภาพที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก ช่างยิ่งใหญ่อลังการอะไรขนาดนี้ ปลายยอดสูงเสียดฟ้า แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าสร้างพระมหาเจดีย์เสร็จแล้วจะสวยงดงามขนาดไหนกัน ตอนนี้ผู้เขียนอายุ 30 ปีแล้ว ได้กลับไปอึกครั้ง พระเจดีย์ก่อสร้างเสร็จแล้ว สวยสดงดงามตระการตาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งลวดลาย ภายใน ภายนอก วิว ทิวทัศน์รอบทิศทาง สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมเลยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ตรงซุ้มประตูระเบียงคต ก่อนเข้าไปพระมหาเจดีย์ชัยมงคล จะเห็นไปกรอบโค้งซุ้มประตูสวยๆ ที่เราเห็นตามโซเชียลอย่างแพร่หลาย จนหลายคนไม่พลาดต้องถ่ายภาพเก็บไว้ ช่วงเวลาท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดดส่อง จะเป็นช่วงเวลาทองของนักถ่ายภาพ ถ้าสภาพอากาศไม่ดี ก็จะพากันเดินเที่ยวชมความงดงามหรือนั่งพักผ่อนกันก่อน รอจนกว่าจะได้ถ่ายภาพสมใจ แต่สิ่งหนึ่งที่มีให้เห็นทุกวันและไม่เคยเปลี่ยนไปคือ ประชาขนยังเลื่อมใสศรัทธา เดินทางเข้ามากราบสักการะพระมหาเจดีย์ไม่ขาดสาย ถึงแม้จะผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม ผู้เขียนเองก็เคยได้นั่งพักผ่อนตรงข้างประตูระเบียงคต ใต้ฐานพระพุทธรูป ชื่นชมกับความงามที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนพื้นปูด้วยหินอ่อนทั้งหมด ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น หายเหนื่อย เรียกได้ว่าสบายสุดๆ ไปเลยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ เดินลอดซุ้มประตูเข้ามา จะมองเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่รอบๆระเบียงคต ส่วนมากจะเป็นปรางมารวิชัย และปางประจำวันเกิด โดยพระมหาเจดีย์ชัยมงคล จะประดิษฐานพระสาวกนั่งสมาธิรอบด้าน มองดูแล้วรู้สึกจิตใจสงบ และมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง รวมถึงเป็นที่ตั้งรูปเหมือนแกะสลักด้วยหินพระเถรานุเถระของภาคอีสาน จำนวน 101 องค์ พร้อมภาพพุทะประวัติ ภาพชาดกรอบด้าน และยังมองเห็นพระเจดีย์เป็นสีขาวตกแต่งตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็ก 8 ทิศ ด้วยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ พอเราเดินผ่านประตูระเบียงคต จะเป็นทางเดินเข้าสู่พระมหาเจดีย์ และระหว่างทางจะมีลานน้ำพุเล็กๆ ตรงกลางมีพระอุ้มบาตรยืนรอบๆ น้ำพุ หลายคนมีความเชื่อว่า ถ้าโยนเหรียญลงบาตรได้ ชีวิตได้รับพรตามที่ขอไว้ และจะพบเจอแต่โชคดี ผู้เขียนโยนเหรียญไปหลายรอบ กว่าเหรียญจะเข้าบาตรก็ทำเอาเกือบหมดกระเป๋า แต่สุดท้ายก็ทำได้ ถือว่าสุขทั้งกายและใจจริงๆ ค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ภายในพระมหาเจดี มองดูแต่ละชั้นจะมีการสร้างรูปแบบเดียวกันทั้งหมด มีเสาอยู่เฉพาะส่วนกลาง บริเวณรอบๆ ไม่มีเสา ซึ่งประดับลวดลายได้อย่างวิจิตรงดงาม แต่ละชั้นจะมีความสูงมากกว่าอาคารทั่วไป หลายคนจะรู้สึกเหมือนว่า เจดีย์มีความสูง 9 ชั้น เนื่องจากต้องเดินขึ้นบันได วนไปวนมา กว่าจะถึงแต่ละชั้น เหมือมีความสูง 9 ชั้นไปเลยค่ะ ผู้เขียนก็ได้ยินคำว่า เจดีย์ 9 ชั้นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคนร้อยเอ็ดจะชอบพูดว่า เจดีย์ 9 ชั้น จนถึงทุกวันนี้ค่ะ ภายในพระมาหาเจดีย์มี 6 ชั้น เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่โออ่า เป็นห้องเอนกประสงค์ ไว้ทำกิจกรรมต่างๆ ใช้เป็นห้องทำกิจกรรม หรือห้องประชุม มีลวดลายไทยวิจิตรงดงามตระการตา และจะมีความสูงมากกว่าอาคารทั่วไปค่ะ ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่างๆ ถ้าก้าวเท้าเข้ามาในพระเจดีย์ จะรู้สึกเย็นสบาย สดชื่น ผ่อนคลาย มากค่ะเครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 2 เป็นศาลาประชุมสงค์ ผนังมีรูปพุทธประวัติ ห้องนี้จะเป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกันค่ะ ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลายวิจิตรพิศดาร เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 3 เป็นชั้นอุโบสถ ประดิษฐานรูปพระคณาจารย์อีสาน พระประธานอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ใช้ประโยชน์เหมือนกับอุโบสถของวัดอื่นๆ นอกนั้นก็จะมีพระพุทธรูปปางอื่นๆ อีกหลายองค์ ที่ประดิษฐานอยู่ในห้องโถงใหญ่ พื้นที่เหลือจะเป็นพื้นที่ว่าง ลวดลายภายในตกแต่งทั้งเสา ผนัง คาน ขื่อ งดงามลงตัวมากค่ะ รวมถึงภาพเขียนบนกระจก คล้ายกับของโบสถ์คริสต์ ซึ่งมีอยู่รอบๆ ผนังห้องด้วยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 4 เป็นชั้นชมวิว ชมทัศนียภาพรอบเทือกเขาภูเขียว จะไม่มีโถงตรงกลาง มีเพียงทางเดินรอบนอก จุดชมวิวรอบพระมหาเจดีย์ชัยมงคล สามารถออกมาด้านนอกที่ประตูชั้น 4 ได้ค่ะ จะมีระเบียงรอบๆ พระเจดีย์ จะเป็นพื้นกระเบื้องสีขาว เวลาแดดส่งจะร้อนจัดมากค่ะ แต่น่าแปลกที่หลายๆ คนออกไปเดินถ่ายภาพ ชมวิว แบบไม่ร้อนเท้าเลย รวมถึงตัวผู้เขียนเองเช่นกันค่ะ สามารถเดินได้อย่างสบาย เพราะกำลังเพลิดเพลินกันความงดงามที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมองไปรอบๆ พระเจดีย์ จะเจอกับเจดีย์องค์เล็ก 8 ทิศด้วยค่ะ เห็นพื้นที่ลาบลุ่มห่างไกล ซึ่งเป็นบ้านเรือน ที่ไร่ที่นาของชาวบ้าน เห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ก้อนเมฆลอยไปมา รวมถึงอีกด้านหนึ่งจะเห็นตำหนักรับรองสมเด็จพระสังฆราชด้วยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 5 เป็นชั้นพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นห้องโถงเล็กๆ และสูง ด้วยรูปทรงของพระมหาเจดีย์ส่วนยอด ทำให้ชั้นนี้เล็กนั้นเองค่ะ ซึ่งเป็นห้องพิพิธภัณฑ์หลวงปูศรี มหาวีโร ที่เป็นผู้เริ่มการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคลแห่งนี้ค่ะ และยังได้ชื่อว่าเป็นบันไดสวรรค์ บันไดเล็กๆ แคบ ยาวขึ้นไปยังชั้น 6 ผู้เขียนเคยขึ้นไป ต้องเดินระวังมากๆ ค่ะ เพราะต้องเดินขึ้นไปสวนกับคนที่เดินลงมาด้วย กว่าจะถึงทำให้ต้องใช้ความพยายาม ความตั้งใจ และใช้สติสุดๆไปเลยค่ะ เครดิตภาพโดย facebook.com/JDchaimongkol/ ชั้นที่ 6 เป็นชั้นสูงสุด บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในที่สุดก็มาถึงแล้วค่ะ ชั้นสุดท้ายอันเป็นยอดของพระมหาเจดีย์ เป็นที่นมัสการองค์พระบรมสารีริกธาตุ หลายคนเชื่อว่า ถ้าได้มาถึงชั้นนี้ เหมือนได้มากราบนมัสการพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ ชั้นนี้มีขนาดเล็กมากค่ะ จุคนได้น้อยมาก หลังจากนมัสการเสร็จหลายคนจะนั่งพักผ่อนกันอยู่รอบๆ และชื่นชมกับพระบารมีของพระพุทธเจ้า บางท่านนั่งสมาธิ ยังไม่อยากเดินลงไปด้านล่าง ส่วนคนที่อยู่ด้านล่างยังขึ้นมาไม่ได้เพราะยังไม่มีที่นั่ง และรู้สึกหายใจลำบากค่ะ ผนังด้านใน จะตกแต่งด้วยลวดลายท้องฟ้า เหมือนอยู่ในวิมานสวรรค์ชั้นฟ้ากันเลยทีเดียวค่ะ สิ่งก่อสร้างสำคัญในบริเวณเจดีย์ชัยมงคล กำแพงแห่งศรัทธา สูง 5 เมตร กว้าง 4 เมตร ยาว 3,500 เมตร ชั้นบนชมวิวได้รอบด้าน ด้านล่างเป็นที่ปฏิบัติธรรม เจดีย์บรมพุทโธ จำลอง ชาวพุทธในประเทศอินเดียสร้างถวาย ตำหนักรับรองสมเด็จพระสังฆราช กุฏิรับรองหลวงปู่ศรี มหาวีโร โรงทานขนาดใหญ่ 3 หลัง การเดินทางคือ ใช้เส้นทางหนองพอก - ผาน้ำย้อย จากตัวเมืองร้อยเอ็ด ใช้ทางหลวงหมายเลข 2044 ร้อยเอ็ด - โพนทอง ถึงโพนทอง จะมีทองแยกไปอำเภอหนองพอก ใช้ทางหลวงหมายเลข 2136 ซึ่งถนนสายนี้สามารถไปถึงพระมหาเจดีย์ชัยมงคลได้เลยค่ะ เส้นทางรวม ราวๆ 80 กิโลเมตร เมื่อถึงบริเวณเจดีย์ จะเจอซุ้มประตูโขงที่สร้างไว้ลักษณะคล้ายปราสาทหิน สามารถเลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงลานจอดรถที่จัดไว้อย่างกว้างขวางได้เลยค่ะ ซึ่งมี 3 ลานจอด แต่ละที่จะมีร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆ ร้านของฝาก ของที่ระลึกเต็มไปหมดค่ะ ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาล ไม่ต้องพูดถึงเลย ลานจอดเต็มจนไม่มีที่ให้เดิน หลายคนต้องอาศัยมารถคนเดียวกันมา เพื่อจะได้ประหยัดที่จอดรถ ก่อนที่จะมีการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล ผู้เขียนในวัยเด็กได้ตามครอบครัวมาเที่ยวที่วัดผาน้ำย้อย (ชื่อเดิมในขณะนั้น) ตอนนั้นมีเพียงวัดที่อยู่ตีนเทือกเขาภูเขียว ข้างหลังวัดจะเป็นทางเดินขึ้นเขา สร้างด้วยปูนและหินสลับกันไป สักพักจะเห็นหน้าผาที่มีน้ำย้อยไหลลงมาประปราย มีแท็งน้ำและอ่างน้ำไว้รองน้ำที่ไหลลงมา น้ำที่กักเก็บไว้เย็นสดชื่น สามารถดื่มได้ค่ะ ดับกระหายได้เป็นอย่างดี ขอบหน้าผาจะมีพระพุทธรูปน้อยใหญ่วางเรียงราย มีไม้เล็กๆ ที่ผู้ที่มาเยือนได้อธิฐานแล้วค้ำหน้าผาเอาไว้เพื่อให้ได้รับพรตามที่ต้องการ สูงขึ้นไปอีกจะเป็นทางเดินตามขอบหน้าผาสูงชันและกอไผ่ สร้างด้วยเศษไม้น้อยใหญ่ บางช่วงก็ผุพัง ทำเอาใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยค่ะ เพราะลุ้นว่าจะถึงที่หมายกันไหม ซึ่งจุดหมายคือจุดชมวิวขนาดไม่กว้างมากนัก แต่มองไปด้านล่างก็ทำเอาอึ้งไปตามๆ กัน มันช่างสวยงามอะไรขนาดนี้ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นคนชาวร้อยเอ็ด ได้พบเห็นและผูกพันกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาตั้งแต่เด็ก หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับอรรถรสในการรับชมเรื่องราวครั้งนี้ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ การเผยแพร่ความวิจิตรงดงามของศิลปะทางพระพุทธศาสนาของไทยสู่สายชาวโลก ความยิ่งใหญ่อลังการทางการของงานก่อสร้างบนยอดเขา ความงดงามที่ชีวิตนี้ต้องมาเจอสักครั้ง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชุดชมวิว ที่ใครหลายๆ คนต้องประทับใจอีกแห่งหนึ่งของชาวร้อยเอ็ด ถ้าใครได้เดินทางมาร้อยเอ็ด ต้องไม่พลาดที่จะมาเก็บภาพประทับใจ รวมถึงกราบสักการะพระมหาเจดีย์ชัยมงคล พระบรมสารีริกธาตุ แหล่งรวมความงดงามเลื่อมใสศรัทธาแห่งนี้ จนภาพที่เห็นตราตรึงอยู่ในใจไม่รู้ลืม แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ครั้งหน้าจะกลับมาใหม่ เครดิตภาพหน้าปกโดย facebook.com/JDchaimongkol/ วันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !