ศรีสะเกษอาจจะเป็นเมืองรองที่ไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคน เราเลยอยากจะชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวศรีสะเกษกัน ถ้านั่งเครื่องบินมาลงที่อุบลราชธานี ก็นั่งรถตู้มาที่ศรีสะเกษได้ ค่ารถแค่ 43 บาท ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น เริ่มต้นวันกับมื้อเช้าที่ร้าน เจียวกี่ ร้านเก่าแก่ประจำเมืองศรีสะเกษ ผู้ก่อตั้งร้านเคยเป็นกุ๊กในวังปารุสก์ตั้งแต่สมัยร.6 ด้วย วันก่อนกินไข่กระทะไปแล้ว เลยลองสั่ง ข้าวผัดอเมริกัน รสชาติธรรมดาทั่วไป ไม่ถึงกับอร่อยพิเศษ แต่ความสะอาดและการต้อนรับดีทีเดียว ร้านเจียวกี่อยู่ตรงวงเวียนพระนางศรีสะเกศ (สะกดไม่เหมือนชื่อจังหวัดที่ใช้ "ษ") ตามตำนานเล่าว่าพระนางศรีสระผมเป็นคนสัญชาติกล่อม ราชธิดาของท้าวสุริยวรมันกับพระนางพิณสวัณคราวดี อุปราชครองพิมานมงคลในแคว้นโคตรบูร พระนางศรีสระผมเป็นผู้อำนวยการสร้างปราสาทสระกำแพง เป็นผู้รู้วิชานาฎศิลปะ ชำนาญการฟ้อนรำ ทรงเป็นครูฝึกหัดการฟ้อนรำ ทรงเป็นประธานในพิธีถวายเทวาลัยปราสาทสระกำแพง พระนางศรีสระผมเข้าพิธีสรงสนานอาบน้ำสระผมในสระกำแพง แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศสวยงาม มีดนตรีบรรเลง ทรงฟ้อนรำบวงสรวงเดี่ยวหน้าเทวรูปพระวิษณุ อัญเชิญเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ศักดานุภาพมารับมอบเทวาลัยเป็นที่สิงสถิต คนทั่วไปซาบซึ้งและระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงเรียกขาน "พระนางศรีสระผม" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ร.1) โปรดเกล้าพระราชทานให้ตั้งเมืองใหม่แยกจาก “เมืองขุขันธ์” ชื่อว่า “เมืองศรีสะเกษ” เพื่อเป็นการให้เกียรติและเป็นอนุสรณ์แก่พระนางศรีสระผม ต่อมามีการเปลี่ยนการเรียกชื่อรูปเคารพของพระนางศรีสระผมเป็น “พระนางศรีสระเกศ” เพื่อให้สอดคล้องและกลมกลืนกับวัฒนธรรมและสังคมของเมืองศรีสะเกษ และให้เกิดความถูกต้องกับสถานที่ตั้งและให้ประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษสามารถจดจำชื่อและเป็นเอกลักษณ์ของเมืองได้ เติมพลังกันแล้วล้อหมุนไปจุดหมายแรกกัน ตอนแรกเราตั้งใจจะไปวัดสุพรรณหงส์ แต่พี่แท็กซี่แนะนำว่ามีอีกวัดที่ชาวบ้านนับถือกันมากและอยู่ใกล้ๆ กัน นั่นคือวัดบ้านสร้างเรือง คนท้องที่แนะนำทั้งที่เราจึงไม่ขัดศรัทธา ไปโลดเลยพี่ วัดบ้านสร้างเรืองหรือที่นิยมเรียกกันว่าวัดพระธาตุเรืองรอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุผมของพระอรหันต์ ลักษณะเป็นอาคารที่มีการผสมผสานศิลปะอีสานใต้ 4 เผ่า ได้แก่ ลาว ส่วย เขมร และเยอ ขึ้นไปข้างบนไหว้พระธาตุและชมวิวกัน วันนี้ลมเย็นอากาศดีมาก เราว่าที่นี่ให้อารมณ์ประมาณวัดไผ่โรงวัวที่มีรูปปั้นต่างๆ เป็นคติเตือนใจ เราไปต่อกันที่อีกวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน วัดสุพรรณหงส์ พระอุโบสถก่อสร้างบนเรือสุพรรณหงส์จำลองกลางน้ำ พระอุโบสถกว้าง 5 เมตร ยาว 13.60 เมตร หลังคาทรงจัตุรมุข 3 ชั้น มียอดมณฑปกลางอุโบสถ เป็นสัญลักษณ์ของวัดที่โดดเด่น เราซื้อขนมปังกะจะให้อาหารปลา แต่ไม่มีปลาขึ้นมาเลย สงสัยหลบอากาศเย็นอยู่ 555 สักการะพระพุทธรูป หลวงปู่ทวด และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต จุดหมายต่อไปคือปราสาทสระกำแพงน้อยและสระกำแพงใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตั้งใจมาที่ศรีสะเกษ แต่วัตถุบางชิ้นที่สำคัญก็จะถูกเก็บเข้าไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายแล้ว ปราสาทสระกำแพงน้อยเป็น "อโรคยาศาล” หรือโรงพยาบาล ลักษณะเป็นปราสาทก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ผังรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีมุขยื่นออกไปทางตะวันออกเชื่อมต่อกับฐานมีวิหารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บรรณาลัยก่อด้วยศิลาแลงอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โคปุระก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางตะวันออกมีแนวระเบียงคดล้อมรอบองค์ปราสาททั้งสี่ด้านห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรุด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปทั้งสี่ด้าน และมีบารายขนาดใหญ่อยู่ทางตะวันออกห่างกันประมาณ 100 เมตร สันนิษฐานว่าอาจก่อสร้างขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 ต่อมาในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้กลายเป็นโบราณสถานที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาลที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ช่วงปลายยุคพระนคร) โปรดให้สร้างขึ้น เนื่องจากลักษณะแผนผังและตำแหน่งของอาคารต่างๆมีลักษณะเหมือนกับโบราณสถานแห่งอื่นๆ ที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาล เช่น ปราสาทตาเหมือนโต๊ด จังหวัดสุรินทร์ ปรางค์กู่ จังหวัดชัยภูมิ และปราสาททามจาน จังหวัดศรีสะเกษ ยังเห็นลวดลายส่วนทับหลังบ้าง ส่วนทับหลังเหนือกรอบประตูมีลวดลายเฟื่องอุบะ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ โบราณสถานสมัยขอมที่มีอายุยืนยาวกว่า 1,000 ปี ภายในบริเวณวัดสระกำแพงใหญ่ มีปราสาทหินโบราณขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัด ตัวปราสาทมีลักษณะคล้ายเจดีย์ หรือปรางค์โบราณ 3 องค์บนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายมีอิฐแซม ด้านหน้ามีวิหารก่ออิฐ 2 หลัง ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีโคปุระหรือประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศ ภาพทับหลังเกียรติมุขหรือหน้ากาลกัดกินท่อนมาลัยและเฟื่องอุบะใต้วงโค้ง ภาพบนเกียรติมุขเล่าเรื่องหนุมานถวายแหวนนางสีดา ซึ่งเป็นตอนหนึ่งจากเรื่องรามายณะ เป็นตอนที่หนุมานถวายแหวนของพระรามแก่นางสีดา เพื่อให้นางสีดาทราบว่าพระรามกำลังจัดทัพมารบกับราพณ์ (ทศกัณฐ์) ภาพทับหลังเกียรติมุขอุ้มและกัดกินท่อนมาลัย ด้านบนเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ภาพทับหลังวิษณุอนันตศายินปัทมนาภะ หรือนารายณบรรทมสินธ์ เป็นตอนเริ่มต้นสร้างกัลป์ พระวิษณุประทับบนนาคอนันตนาคราชเหนือเกษียรสมุทร มีพระพรหมผุดจากนาภีหรือสะดือ ปลายพระบาทน่าจะเป็นพระลักษมีและภูมิเทวี ชายาของพระองค์ ปราสาทหินทั้งสองแห่งปัจจุบันอยู่ในบริเวณวัดสร้างใหม่ เลยอาจจะมีบางมุมที่ถ่ายติดสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ทำให้รู้สึกว่าขัดๆ กับความเก่าแก่ของปราสาทหินไปบ้าง กลับเข้ามาในตัวเมืองแวะที่ มาลาคาเฟ่ คาเฟ่ตกแต่งดอกไม้เหมาะกับสายหวาน สั่งมาลาบลอสซั่ม (55 บาท) อิตาเลียนโซดาสีสวย เหมาะกับอากาศร้อนๆ คนที่ชอบกาแฟสามารถสั่งแบบเพิ่มไซรัปกาแฟได้ด้วย และช็อกโกแลตลาวาที่พนักงานแนะนำ (119 บาท) ช็อกโกแลตลาวาคู่กับไอศกรีมวานิลลา 1 ลูก ขนมอุ่นร้อนช็อกโกแลตเข้มข้นไม่หวานมากเข้ากันกับเครื่องดื่มพอดี จบแล้วกับ one day trip ในตัวเมืองศรีสะเกษ สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถ หาเช่ารถแท็กซี่ที่บขส.ได้ ในตัวเมืองยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีก เช่น หอคอยชมเมือง แต่เราไปวันจันทร์หอคอยปิด และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ ข้อมูลร้านอาหาร เจียวกี่ เวลาเปิดปิด 06:00-15:00 น. Mala Cafe เวลาเปิดปิด 09:00-21:00 น. ภาพประกอบโดย food.travel.addict