สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับ #มาสุรินทร์ต้องกินอะไรเหลา? สำหรับตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนที่3 แล้ว ผมได้รับคำแนะนำมาจากพลเมืองดี ไม่ประสงค์ออกนามว่า ในตัวอำเภอเมืองสุรินทร์ มีร้านส้มตำในตำนานอยู่ร้านหนึ่งครับ มีแม่ค้าส้มตำที่สวยที่สุดในโลก เธอชื่อเจ้ภา ( เสาวภา) เป็นแม่ค้าส้มตำมายาวนานกว่า30ปี คือตำมาตั้งแต่ตอนยังเป็นสาววัยขบเผาะเอาะๆ ตั้งแต่ยังเป็นร้านเล็กๆริมฟุตบาทข้างถนน จนทุกวันนี้ ขายดิบขายดี มีชื่อเสียง ขยายกิจการร้านค้าใหญ่โตโมเดิร์น กว้างขวาง สวยงาม เหมาะต่อการนั่งชิล พบปะสังสันต์ ปั้นข้าวเหนียว จกปลาร้ากันตามสไตส์ฮิปเตอร์อีสาณบ้านเฮา อย่างแรงครับ ไม่ทันที่จะรีรอ อ้อยอิ่ง พิรี้พิไร ผมก็ตัดสินใจเดินไปชวนนังเบลล่า ลูกสาวคนเล็กขึ้นรถเดินทางไปด้วยกัน ตอนแรก นางก็ตกใจถามด้วยความสงสัย "พ่อจะพาหนูไปไหนเหรอ..พ่อ?" แต่พอได้ยินว่าจะพาไปกินส้มตำเท่านั้น ล่ะครับ นางก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจ กระโดดขึ้นรถในทันที ใช้เวลาขับรถเดินทางจากบ้าน ไปยังร้านส้มตำฟุตบาทซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุรินทร์ ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงที่หมายครับ ร้านอยู่ในซอยหลังสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุรินทร์ (บขส.) เข้าออกได้หลายทาง หรือจะเข้าทางถนนศิริรัฐ ฝั่งตรงข้ามโรงแรมทองธารินทร์ ซอยด้านข้าง 7-11 ก็ง่ายดีครับ เดินเลาะตรอกเล็ก ๆเข้าไปประมาณ 20 เมตร ก็จะเห็นป้ายชื่อร้าน "ส้มตำฟุตบาท" เด่นชัด สวยงามครับ เมื่อไปถึง ก็อดไม่ได้เลยที่จะต้องถ่ายรูปสวยๆ check in โพสต์ลง facebook กันเช่นเคยครับ ร้านตกแต่งสวยงามตามสไตส์ LOFT Modern Mix&Match ภายในร้านเต็มไปด้วยของสะสมเก่าๆ ที่ทำมาประดับไว้ในร้าน ให้สไตล์วินเทจ ดูแล้วคิดถึงความหลัง อดีตวันวานยังหวานอยู่สมกับเป็นร้านส้มตำเก่าแก่ในตำนาน จริงๆครับ เจ้ภาซึ่งกำลังจิตใจจดจ่ออยู่กับครกและสากตรงหน้า ในการบรรจงตำส้มตำให้กับลูกค้าตามออเดอร์อย่างพิถีพิถัน ยังไม่มีเวลาที่แหงนหน้าขึ้นมามองตรงหน้า ต้อนรับลูกค้าหน้าใหม่ที่กำลังเดินเข้ามา ผมและนังเบลล่าจึงยืนคอยหาจังหวะดีๆ พอที่จะส่งยิ้มหวาน สบสายตา สวัสดีทักทาย พร้อมทั้งเอ่ยปากขออนุญาตเก็บภาพสวยๆมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน เจ้ภายิ้มรับสวยงาม ตามสไตส์แม่หญิงไทย ส่งสายตาหวานๆ ปานน้ำผึ้งเดือนห้า บอกกล่าวกับเราอย่างเป็นกันเองว่า "เชิญตามสบายเลยจ้า จะหยิบจะจับ จัดวางองค์ประกอบภาพ ถ่ายภาพแบบไหนก็เลือกจัดเอาเองได้เลย ตามสบาย นะคะ ตอนนี้ พี่ยังไม่ว่างคุยด้วย " เราสองคนพ่อลูกจึงเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้ามเคาเตอร์เพื่อที่จะอยู่ใกล้เจ้าของร้านให้มากที่สุด ด้วยความหวังเล็กๆว่า เจ้ภาฯ แกคงจะมีเวลาว่างบ้าง พอที่จะปลีกตัวมานั่งพูดคุยกับเรา เล่าให้ฟังถึงประวัติที่มาที่ไปของร้านส้มตำฟุตบาทในตำนานนี้ ซักสี่ซ้าห้านาที ก็ยังดี ระหว่างนั้น ผมก็แอบสังเกตุการณ์ เก็บภาพบรรยากาศในร้านไปเรื่อยๆ พบว่ามีคนเดินเข้าออกร้านอยู่ตลอดเวลา อุปมาลักษณะหัวกระไดไม่แห้ง โดยเฉพาะเหล่าพนักงานขับรถส่งอาหารdelivery ตามยุคสมัยโควิด19 ไม่ว่าจะเป็น grabfood, foodpanda ซึ่งดูทีท่าดูสนิทสนมคุ้นเคย และการหยอกเอินกันแบบเป็นกันเองราวกับเพื่อนเล่นกันแล้วนั้น ทำให้หมดข้อสงสัยไปเลยว่า ทำไมส้มตำร้านนี้จึงขายดีแบบเทน้ำเทท่า ไม่เชื่อดูกล้ามเป็นมัดๆของเจ้ภา ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ยืนยันความจริงในข้อนี้ ได้เป็นอย่างดีครับ เนื่องจากเราเดินทางไปด้วยกันแค่สองคนพ่อลูก ด้วยความกลัวว่าจะทานอาหารไม่หมด ประเดี๋ยวแม่ค้าจะเกิดอาการเสียใจ จึงเลือกสั่งอาหารเมนูส้มตำแค่สองสามอย่าง พอทดสอบให้รู้รสชาติว่าส้มตำร้านนี้อร่อยจริงสมคำเล่าลือหรือไม่ ปรากฎว่า หมดเกลี้ยงทั้งสามจานครับ ทั้งตำไทยโบราณและตำผสมปูปลาร้าแบบลาว และไก่ย่างสูตรหมักพิเศษที่หอมกลิ่นพริกไทยดำ ถูกปากนังเบลล่าเอามากๆ เสียงว่า ระหว่างที่เราสองพ่อลูกกำลังจกปลาร้า แย่งไก่ย่างรสเด็ดกันอย่างเมามันส์อยู่นั้น เจ๊ภา ก็ปลีกเวลามานั่งคุยด้วย คำถามแรกที่ผมสงสัยมากและอยากรู้ที่สุดในตอนนี้คือ เจ้ภาหมักปลาร้าเองใช่หรือไม่? ทำไม รสชาติมันถึงไม่เหมือนน้ำปลาร้าที่อื่น? พูดตรงๆบอกตรงๆ แบบบ่องตรงเลยว่า ลิ้นของผมยังไม่เคยสัมผัสกับปลาร้าที่ทำได้นัวส์ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต โอ้วส์ My God ! นี่มันสุดยอดน้ำปลาร้า เท่าที่เคยสัมผัสมา เลยจริงๆ ครับพี่ เจ้ภา ยิ้มสวยแล้วบอกกับเราแบบไม่หวงสูตรว่า เคล็ดลับความอร่อยของน้ำปลาร้าอยู่ที่ "พี่ไม่ได้หมักน้ำปลาร้าด้วยตัวเอง แต่พี่จะเลือกปลาร้าจากหลายๆเจ้าที่พี่คัดสรรแล้วและใช้เป็นประจำคลุกเคล้าผสมกันและปรุงรสจนได้ความนัวส์ตามที่พี่ต้องการ และอีกเคล็ดลับคือวิธีการสับเส้นมะละกอเป็นเส้นแบบเหลี่ยมๆให้ได้เส้นขนาดพอดีๆ ก่อนที่จะนำไปน๊อคในน้ำแข็งทำให้เส้นกรอบอร่อยตามสูตร และเคล็ดลับสุดท้าย ที่ไม่บอกไม่ได้เลยก็คือ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาตำส้มตำแทนพี่เด็ดขาด ถ้าพี่ไม่อยู่ที่ร้านหรือว่าพี่ไม่ว่าง นั่นก็คือไม่ขาย พี่จะไม่ยอมให้ใครมาตำแทนพี่ ทุกคนที่เลือกมาร้านส้มตำฟุตบาท ต้องได้กินฝีตำจากพี่คนเดียวเท่านั้น " ซึ่งทำให้ผมถึงบางอ้อ และเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ แล้วว่าทำไมส้มตำฟุตบาท จึงอยู่คู่บ้านคู่เมืองสุรินทร์มาอย่างยาวนานถึงขนาดนี้ และเจ้ภาคือตัวจริงบนถนนสายน้ำปลาร้าแห่งนี้ คงไม่มีนิยามใดจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว หลังจบบทสนทนา ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่า มีโอกาสเข้าตัวเมืองสุรินทร์อีกเมื่อไหร่ จะต้องพาครอบครัวกลับไปตอกย้ำความอร่อยแบบสุโค่ย สุดแซ่บอีหลีของดีอีสานใต้ แห่งนี้กันอีกหลายๆครั้งอย่างแน่นอน ขอบคุณ ภาพอาหารสวยๆจากแฟนเพจ ส้มตำฟุตบาท https://www.facebook.com/SomtamFutbathbyfamily วิมุต ชุมแก่น เรื่องและภาพประกอบ ติดตามผลงานรีวิวอาหารได้ที่ https://creators.trueid.net/@12975