จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ครั้งนี้ผู้เขียนมีโอกาสขับรถเลียบโขง โดยใช้เส้นทาง 2034 มุกดาหาร-อุบลราชธานี และสำหรับเป้าหมายการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือ ผาชะนะได อันเป็นสุดเขตประเทศไทยที่เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในประเทศ และด้วยความที่ไม่ทำการบ้านมาก่อน ผู้เขียนออกเดินทางจากจังหวัดมุกดาหารในช่วงสาย ๆ และแวะเที่ยวรายทางไปเรื่อย ๆ กว่าจะไปถึงพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว แถวนั้นไม่มีรีสอร์ทอะไรให้พัก สอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นแล้วได้ความว่า ถ้าจะขึ้นผาชะนะไดต้องขึ้นแต่เช้าไม่เกินบ่ายสาม เพราะระยะทาง 15 กม. สุดท้ายนั้น ใช้เวลาเป็นชั่วโมง โดยรถที่ใช้จะเป็นรถออฟโรดหรือมอเตอร์ไซค์เท่านั้น เราก็นึกในใจ อิหยังวะ ทำไมจะขึ้นไม่ได้ ในการเดินทางครั้งนั้น เรามีรถเก๋งคันเล็ก ๆ คันเดียว เจ้าหน้าที่และชาวบ้านเห็นรถเราก็หัวเราะ บอกว่าขึ้นไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องจอดอยู่นี่หล่ะ ถ้าจะขึ้นต้องออฟโรดหรือมอเตอร์ไซค์ เราก็เสียเซลฟ์นิดหน่อย และคิดไม่ออกว่าจะขึ้นไปผาชะนะไดได้ยังไง แต่ที่แน่ ๆ คืนนี้เราต้องขออาศัยกางเต็นท์ พักกับเจ้าหน้าที่ดูแลพิทักษ์ไฟป่า แล้วค่อยคิดว่าพรุ่งนี้จะเดินทางด้วยวิธีไหน แล้วเหมือนโชคจะเข้าข้าง ที่มีเจ้าหน้าที่มีมอเตอร์ไซค์จอดทิ้งไว้อยู่ 1 คัน เราก็เลยไปเจรจาขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์เขา และได้รับคำแนะนำว่าให้ออกเดินทางประมาณตีห้ากว่า ๆ เพื่อจะได้ทันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า เราก็แอบคิดในใจว่า ระยะทางแค่ 15 กม. จะแค่ไหนกันเชียว เราขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากที่พักประมาณตีห้านิด ๆ ที่พักเราอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นผาชะนะได ตอนแรกก็สงสัยว่ามันจะยากตรงไหนนะ พอเห็นทางแล้วยอมรับว่า " ไม่หมูเลย " เป็นครั้งแรกสำหรับการเดินทางที่โหดขนาดนี้ ระยะทางขึ้นผาชะนะได 15 กิโลเมตรที่แสนจะยาวนาน คนขี่ต้องใช้สติและความระมัดระวังในการขับขี่สูงมาก บางจุดรถใหญ่สวนกันไม่ได้ก็ต้องคอยให้อีกคันวิ่งผ่านไปก่อน ส่วนเราเป็นรถมอเตอร์ไซค์ โชคดีมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้า เราก็เลยวิ่งตามรถคันนั้นไปเรื่อย ๆ เราต้องขี่รถบนหินตะปุ่มตะป่ำ ที่มีรอยเทปูนเล็ก ๆ ไว้สองข้างสำหรับรถยนต์วิ่งผ่าน และแน่นอนว่าคงต้องเป็นรถกะบะยกสูง หรือออฟโร้ดเท่านั้น เพราะถ้ารถต่ำ หรือรถเก๋งคงหมดสิทธิ์ บางจุดผู้เขียนต้องลงรถเพื่อเดินตามคนขี่ขึ้นไป ( คนขี่บอกว่าซ้อนได้ ๆ แต่ผู้เขียนหวาดเสียว กลัวตกจากรถจนขอเดินขึ้นเขาเองดีกว่า ) หลายจุดที่เราต้องจอดรถพัก เพราะคนขี่ก็ใช้พลังมากพอสมควร รวมทั้งธรรมชาติที่งดงามของสองฟากทางขึ้นไป ก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะจอดพัก เล่นน้ำตกที่พอจะมีน้ำให้เราได้เล่น เป็นระยะ ๆ และกว่าจะมาถึงลานกางเต็นท์ก็ใช้เวลานานพอสมควร เมื่อไปถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว เราก็มุ่งไปที่ผาชะนะได เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น เสียดายว่าความที่เราไม่ชำนาญเส้นทาง ทำให้เมื่อมาถึงพระอาทิตย์ก็ขึ้นเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะมีเมฆค่อนข้างมากทำให้ฟ้ายังครึ้ม เรายังมองเห็นทัศนียภาพแม่น้ำโขง ที่วิ่งไหลพาดผ่านประเทศไทยและประเทศลาว ใครที่ตั้งใจจะไปเที่ยวผาชะนะได ต้องไปถึงบ้านซะซอมหรือบริเวณวัดถ้ำปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นเขตสิ้นสุดถนนลาดยางก่อนบ่ายสาม เพราะกว่าเราจะเดินทางจากพื้นราบขึ้นไปบนผาชะนะไดที่มีระยะทางเพียง 15 กม. นั้น อาจจะใช้เวลา 1- 2 ชม. เลยก็เป็นได้ และบนนั้นไม่มีอาหารจำหน่าย นักท่องเที่ยวจะต้องเตรียมไปเอง ส่วนเต็นท์หรือถุงนอนนั้นสามารถขอเช่าจากหน่วยบริการนักท่องเที่ยวได้ นอกจากผาชะนะได ที่เป็นจุดไฮไลท์ยามเช้าแล้ว ยังมีเสาเฉลียงคู่ ที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่หาดูได้ยากให้ชมกันได้อีกในผืนป่าดงนาทามแห่งนี้ เมื่อชมธรรมชาติจนสมใจแล้ว ก็ถึงเวลาแห่งการผจญภัยอีกรอบ กับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ลงเขา คราวนี้บอกตรง ๆ ว่าหวาดเสียวกว่าตอนขึ้น คุณแฟนพารถเสียหลักบริเวณน้ำตก 1 ครั้ง ดีที่ผู้เขียนไม่ได้ซ้อนท้ายลงไป เนื่องจากเราเห็นว่าขาลงนั้นการเดินลงจะไม่เหนื่อยเท่าเดินขึ้น ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีค่อย ๆ ขี่ลงมาช้า ๆ กว่าจะถึงพื้นราบและที่พักเรานั้นก็กินเวลาเกือบ 10 โมงเช้าเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่า ขาขึ้นและลงเราจะใช้เวลานานขนาดนั้น แต่ก็เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า มหาโหด แต่ก็ประทับใจ จนหมายใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องกลับไปอีกให้จงได้ ส่งคืนมอเตอร์ไซค์ พร้อมกับช่วยค่าน้ำมันไปพอสมควร ตอนแรกเขาปฏิเสธแต่เราก็ขอร้องว่าถ้าไม่รับไว้เราจะไม่สบายใจเลย คนรับเงินก็เลยยิ้มแฉ่ง ออกจากบ้านซะซอมแล้ว เราก็เดินทางเลียบโขงลงแวะเที่ยวไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะเดินทางไปค้างคืนในจังหวัดอุบลราชธานี เรื่องและภาพโดย : ผู้เขียน