หากพูดถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้คนส่วนใหญ่ มักนึกถึงเครื่องจักรสานต่าง ๆ เช่น กระเป๋า เสื้อผ้า กระติบข้าว โดยนำวัตถุดิบหลักมาจากธรรมชาติ โดยเฉพาะเครื่องจักรสาน และงานหัตถกรรม ส่วนใหญ่จะมีวัตถุดิบมาจากต้นไผ่ เช่นกระติบข้าว แต่ใน อ.น้ำยืน จะมีการนำต้นคล้า มาทำงานหัตถกรรมจักรสาน มากกว่าการใช้ไม้ไผ่ เนื่องจากเครื่องจักรสานที่มาจากต้นคล้า จะมีความหนา และคงทนมากกว่าต้นไผ่ ดังนั้นเมื่อนำไปขาย ราคาขายจะมากกว่าวัตถุดิบที่มาจากต้นไผ่ หลายเท่าตัว เช่น กระติบข้าวจากต้นไผ่ขนาดเล็กราคาอยู่ที่ 20 บาท และถ้ามาจากคล้าจะอยูที่ 120 บาท เป็นต้น ชาวบ้าน ที่ ต.ยางใหญ่ ปลูกต้นคล้า เพื่อนำไปทำเครื่องจักรสาน ที่มาภาพ: จิรภรณ์ ยะคำแจ้ที่ อ.น้ำยืน จะพบการปลูกต้นคล้ามาก ที่่ ต.ยางใหญ่ ชาวบ้านที่มีอาชีพสานกระติบข้าว จะปลูกคล้าไว้ข้างบ้าน นำมาขาย และใช้เอง ต้นคล้า มีลักษณะลำต้นเป็นปล้องยาวเนื้ออ่อน และอยู่ในน้ำหรือที่ชื้นแฉะ ต้นคล้า ไม่เพียงแต่นำมาทำเป็นเครื่องสานต่าง ๆ แล้ว คล้ายังเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย เนื่องจากเมื่อปลูกคล้ามาก ที่บริเวณแหล่งน้ำนั้น ก็จะมีสัตว์น้ำมาอาศัยอยู่มากมาย ชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวต้นคล้าไปทำเครื่องจักรสาน ที่มาภาพ:จิรภรณ์ ยะคำแจ้ ชาวบ้านกำลังสานกระติบที่มาจากต้นคล้า ที่มาภาพ:จิรภรณ์ ยะคำแจ้ผลิตภัณฑ์จากต้นคล้า แม้จะราคาแพงกว่าที่สานจากต้นไผ่มาก แต่ก็ขายได้ทั้งใน อำเภอเอง และในท้องถิ่น ทำให้สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนนอกจากนำต้นคล้ามาสานกระติบข้าวแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มากมาย เช่น หมวก หวด ตะกร้า และกระด้ง เป็นต้นใน อ.น้ำยืน นอกจากชาวบ้านจะนำต้นคล้ามาทำเครื่องจักรสานแล้ว ยังมีพืชอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมปลูกมาทำเครื่องจักรสานเช่นกัน พืชชนิดนั้น ก็คือ กกไหล เป็นพืชที่ขึ้นทั่วไปในท้องถิ่น ซึ่งความสวยงาม และราคา ก็เทียบเท่ากับคล้า ดังนั้นหากคุณไปเยี่ยมชม อ.น้ำยืน ก็จะพบเครื่องจักรสานที่มาจากพืชสองชนิดนี้ และชาวบ้านที่นี่ ก็ยินดีให้คำแนะนำและให้ทดลองสานได้อีกด้วย