แม้ว่าทริปเที่ยว “นั่งรถไฟไปอุบลฯ” จะผ่านมา 4 ปีแล้ว แต่เรายังคงประทับใจจนไม่อาจลืมเลือนความทรงจำได้เลยจริง ๆ เพราะเราได้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งรถไฟไทยไปเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีแทนที่จะนั่งเครื่องบิน ซึ่งการนั่งรถไฟไปเที่ยวให้ความรู้สึกม่วนซื่น ๆ (สนุก ๆ) ชิลล์ ๆ ไปอีกแบบ วันนี้เราจะมารีวิวทริปเที่ยวนี้ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เผื่อใครสนใจจะเดินทางไปเที่ยวทางรถไฟกันค่ะ ^^ หลังจากเลิกงานแล้วเราก็แวะกินอาหารเย็นที่ร้าน “แกรนด์แสนยอด” ใกล้สะพานตากสิน พอกินเสร็จเราก็นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ซึ่งระหว่างรอขึ้นรถไฟ เราก็เข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำของสถานีรถไฟ (เสียค่าบริการ 10 บาท) ใส่เสื้อผ้าลำลองของวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาที่รถไฟจะออกก็เดินไปขึ้นรถไฟ เป็นรถไฟด่วนพิเศษ CNR ขบวนที่ 23 สายกรุงเทพฯ - อุบลราชธานี โดยแม่กับเรานั่งรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 (บนอ.ป.) ส่วนพี่เสียสละแยกไปรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น 2 ค่ะ พอขึ้นรถไฟ แม่กับเราก็เดินหิ้วกระเป๋าไปยังโบกี้ 13 ที่เป็นตู้นอนแบบห้องส่วนตัว บอกเลยว่าดีมาก ทั้งสวยงาม สะอาด และมีความเป็นส่วนตัวสุด ๆ ซึ่งในตู้นอนมีสิ่งอำนวยความสะดวกระหว่างเดินทาง เช่น เตียง 2 เตียงทั้งบน-ล่าง (พับเก็บได้), อ่างล้างหน้าส่วนตัว, ตู้เก็บของ, โต๊ะบาร์, จอ LED แบบ Touch Screen เพื่อบอกเส้นทาง, ปลั๊กไฟ 220 โวลต์, หลอดไฟฟ้าส่องสว่าง และระบบโทรทัศน์วงจรปิด, ปลั๊กไฟ 220 โวลต์, หลอดไฟฟ้าส่องสว่าง และระบบโทรทัศน์วงจรปิด ส่วนนอกห้องยังมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่สะอาด แต่เสียดายที่ลืมถ่ายรูปตู้นอนบนรถไฟมาให้ชมกัน เพราะมัวแต่จัดวางกระเป๋าและให้เจ้าหน้าที่ปูเตียง-เครื่องนอน 😅😅😅 จากนั้นเราก็เข้านอนเพื่อเก็บแรงเที่ยวในเช้าวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งตอนเช้าเราตื่นมาเข้าห้องน้ำและแปรงฟัน หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมาถ่ายรูปวิวสองข้างทางและกลับไปเตรียมตัวเก็บของ-กระเป๋าค่ะ เกือบ 7 โมงเช้า นาที รถไฟก็เทียบชานชาลาสถานีรถไฟอุบลราชธานีแล้ว เรา 3 คนนั่งรถยนต์ที่เช่ามาไปเติมพลังยามเช้าที่ร้านกวยจั๊บญวนแห่งหนึ่ง ใกล้กับสถานีรถไฟอุบลฯ ซึ่งเราได้สั่งกวยจั๊บญวนมากินคนละชาม พอกินเสร็จก็เริ่มเดินทางไปเที่ยว โดยเริ่มจาก “วัดพระธาตุหนองบัว” เป็นที่แรกค่ะ “วัดพระธาตุหนองบัว” เป็นวัดสำคัญและสวยงามในจังหวัดอุบลราชธานีที่พุทธศาสนิกชนชาวเมืองอุบลฯ ร่วมใจกันสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานเมื่อปี พ.ศ.2498 ซึ่งภายในวัดประดิษฐานเจดีย์องค์ใหญ่อย่าง“พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดีย สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2500 เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์การครบรอบ 25 ศตวรรษของพระพุทธศาสนา โดยพระธาตุเจดีย์องค์นี้ถือเป็นไฮไลต์หรือจุดเด่นของวัดเลยก็ว่าได้ค่ะ เมื่อเข้าไปในองค์พระธาตุเจดีย์แล้วจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในสถูปทรงสี่เหลี่ยมลงรักปิดทองศิลปะอินเดียแบบปาละ สลักลายเรื่องพระเจ้า 500 ชาติเรียงเป็นแถวแล้วคั่นแถวด้วยลายกลีบบัวอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม และมีพระพุทธรูปประดิษฐานรอบสถูปทั้งสี่ด้าน นอกจากนั้นยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมืองอุบลฯ ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ หลังจากเข้าไปกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองอุบลฯ ภายในองค์พระธาตุเจดีย์ฯ แล้วก็เดินออกมาชม “รูปปั้นฉัพยาปุตตะ” หรือพญานาคสีรุ้งองค์ใหญ่ 2 องค์มีนามว่า “ท่านปู่กริชกรกต” กับ “ท่านย่ามณีเกตุ” ที่ประดิษฐานไว้คู่กัน ซึ่งพญานาคฉัพยาปุตตะหรือพญานาคสีรุ้งเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลพญานาค โดยเจ้าอาวาสท่านดำริให้สร้างขึ้นตามที่นิมิตเห็นว่ามีงูใหญ่สีรุ้งมาอาศัยอยู่บริเวณวัดพระธาตุหนองบัวแห่งนี้นั่นเองค่ะ จากนั้นเรานั่งรถเดินทางไปชมวัตถุโบราณหรือหลักฐานทางโบราณคดี ณ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดภูถ้ำพระศิลาทอง” หรือ “พิพิธภัณฑ์ตำบลเจียด” ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดถ้ำพระศิลาทอง อำเภอเขมราฐ ซึ่งชาวบ้านนาหนองเชือกกับชาวตำบลเจียดและกรมศิลปากรร่วมมือร่วมใจกันสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2551 โดยภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงวัตถุโบราณต่าง ๆ ที่มีอายุนานนับพันปี เช่น กลองมโหระทึก, ขวานสำริดรูปรองเท้าบู๊ต, กำไลข้อมือลายเกลียวเชือก, เครื่องปั้นดินเผา, ศพหรือโครงกระดูกมนุษย์ที่ถูกฝังไว้ในภาชนะดินเผาทรงกลมขนาดใหญ่ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณที่ชาวบ้านบริจาคมาจัดแสดง พร้อมทั้งมีแผ่นป้ายความรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และวัตถุโบราณแต่ละประเภทประกอบด้านข้างฝาผนังอีกด้วยค่ะ ชมวัตถุโบราณภายในพิพิธภัณฑ์แล้วก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี เราก็นั่งรถไปยังร้านอาหาร “บ้านกงพะเนียง” ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเขมราฐ ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นร้านอาหารแล้วยังเปิดเป็นรีสอร์ทให้เข้าพักอีกด้วย บรรยากาศถือว่าดีทีเดียว เพราะทางด้านหลังติดริมแม่น้ำโขง โดยเราสั่งต้มยำปลาคังมะพร้าวอ่อน, ปลากงพะเนียง และหมูสามชั้นทอดน้ำปลา รสชาติรวม ๆ อร่อยดีค่ะ เติมพลังยามบ่ายแล้ว เราเดินทางไปชมลานพระขาวที่ “วัดบุ่งขี้เหล็ก” ซึ่งแต่เดิมวัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดสังวรวนาราม” ต่อมาหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร (พระครูสุนทรพัฒโนดม) เจ้าอาวาสในขณะนั้นได้บูรณะวัดขึ้นใหม่และเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดบุ่งขี้เหล็ก” ต่อมาวัดบุ่งขี้เหล็กได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ด้วยความที่วัดแห่งนี้รักษาความสะอาดดีมากจึงได้รับเกียรติบัตรรางวัลของโครงการ “อุบลเมืองสะอาด ราชธานีอีสาน” ในปี พ.ศ.2553 ค่ะ ไฮไลต์หรือจุดเด่นสำคัญของวัดบุ่งขี้เหล็กคือ “ลานพระขาว” ซึ่งลานนี้เป็นลานที่มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีขาวจำนวน 56 องค์ตั้งประดิษฐานวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงาม โดยชาวบ้านกับผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ร่วมกันสร้างขึ้น ถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกันอย่างมากมาย นอกจากนั้นยังมี “เจดีย์พระศรีอริยเมตตรัย” ที่เป็นพระมหาเจดีย์รูปทรงสูงใหญ่สวยแปลกตาต่างจากเจดีย์ทั่วไปคือ ผนังด้านนอกทาด้วยสีทองสูงทั้งหมด 7 ชั้นตั้งอย่างโดดเด่นบริเวณกลางวัด ใช้เวลาสร้างเสร็จภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี 4 เดือนเท่านั้นด้วยความร่วมมือร่วมใจและจิตเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านชาวบ้านมีต่อหลวงปู่จันทร์หอมนั่นเองค่ะ ชมลานพระขาวที่วัดบุ่งขี้เหล็กแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง “หาดทรายสูง” ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงในบริเวณบ้านลาดเจริญ อำเภอเขมราฐ ซึ่งหาดแห่งนี้เป็นหาดทรายน้ำจืดขนาดใหญ่ที่เกิดจากกระแสน้ำของแม่น้ำโขงไหลพัดพาดินทรายมาสะสมไว้ในช่วงน้ำขึ้นและกลายเป็นชายหาดในช่วงน้ำลง อีกทั้งกระแสลมยังพัดพาตะกอนทรายมากองทับถมรวมกันไว้จนเกิดเป็นเนินสันทรายหรือหน้าผาทรายเตี้ย ๆ ทำให้แลดูคล้ายทะเลทรายขนาดย่อม พอเดินลงไปยังเนินสันทรายด้านล่างก็จะพบแอ่งน้ำไหลกับแนวโขดหินที่ช่วยให้หาดทรายแห่งนี้สวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้นค่ะ จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง “หาดชมดาว” ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหาดทรายสูง ซึ่งแก่งชมดาวเป็นแนวหาดหินหรือแก่งหินที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำทอดตัวยาวไปหลายร้อยเมตร ลักษณะคล้ายกับสามพันโบกแต่ต่างกันตรงที่มีโบกหรือแอ่งน้ำมากกว่าและใหญ่กว่านั่นเอง โดยแก่งชมดาวมีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายจุดด้วยกันค่ะ เช่น หินชมนภา, บิ๊กโบก และถ้ำตาอ้วน เป็นต้น พอชมวิวที่แก่งชมดาวแล้วจึงเดินทางไปยัง “บ้านสวนณัฐชนา” เพื่อเช็กอินเข้าที่พัก ซึ่งห้องพักสะอาด น่าพัก และสะดวกสบาย ที่สำคัญอยู่ใกล้กับสามพันโบกที่จะไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้น (ส่วนภาพที่เห็นด้านบนนี้เป็นภาพหน้าห้องพักที่ถ่ายในช่วงค่ำ ๆ) หลังจากเช็กอินแล้วก็จัดกระเป๋านิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนออกไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหาร “ครัวสามพันโบก” ตั้งอยู่ใกล้กับสามพันโบก วิวสวยดี มองออกไปก็เห็นสามพันโบก ส่วนกับข้าวรสชาติโอเคเลย แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปกับข้าวที่สั่งมาค่ะ 5555 หลังจากกินอาหารเย็นจนอิ่มแล้วจึงไปเดินเล่นให้ท้องย่อยที่ “ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี” ก่อนกลับเข้าที่พัก ซึ่งถนนคนเดินตลอดเส้นทางเป็นชุมชนบ้านไม้เก่าแก่มีอายุมานานกว่า 200 ปี สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านเขมราฐบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยตั้งซุ้มร้านค้าต่าง ๆ มากมายกันอย่างคับคั่ง เช่น ร้านอาหาร, สินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึก อีกทั้งยังมีการจัดแสดงดนตรี, ศิลปะ, ภาพถ่ายเก่าแก่ของชุมชนเขมราฐในอดีต และการแสดงชุดพื้นบ้านหรือขบวนฟ้อนรำของชาวเขมราฐที่ออกมาฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน พอเดินซื้อของจนเหนื่อยแล้วก็เดินทางกลับเข้าที่พักและอาบน้ำ นอนค่ะ วันรุ่งขึ้นหลังจากเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็เดินทางไปเที่ยว “สานพันโบก” สถานที่ท่องเที่ยวสุด Unseen ยอดนิยมที่ไม่ว่าใครเดินทางมาเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีจะต้องมาเที่ยวชมที่นี่ ซึ่งสามพันโบกเปรียบเสมือนแกรนด์แคนยอนของเมืองไทย เนื่องจากแก่งหินจะเผยโฉมให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้งเท่านั้น และแก่งหินเหล่านี้จะมีโบกหรือแอ่งน้ำน้อยใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำหรือแรงน้ำวน เมื่อนับโบกหรือแอ่งน้ำแล้วมีมากกว่า 3,000 แอ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อสามพันโบกนั่นเองค่ะ สามพันโบกมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างแอ่งน้ำและแก่งหินต่าง ๆ ที่ถูกน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงามแปลกตา เช่น รูปมิกกี้เมาส์, หัวใจ, ถั่วลันเตา, ดาว, หัวฮิปโป, หัวสุนัข, หนู, เต่า, วงรี เป็นต้น แต่ไฮไลต์เด่นที่สุดอยู่ที่ “บุ่งน้ำใส” หรือ “สระมรกต” สระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่กลางลานหิน เพราะน้ำในสระแห่งนี้ยังคงเป็นสีเขียวมรกตไม่ว่าจะเข้าสู่ฤดูไหน โดยน้ำจะใสที่สุดในเดือนธันวาคม และสิ่งที่ดูน่ามหัศจรรย์ที่สุดคือต่อให้แม่น้ำโขงจะเพิ่มหรือลดระดับน้ำอย่างไร ระดับน้ำในสระมรกตก็ยังคงที่และเต็มโบกอยู่เสมอค่ะ หลังจากชมสามพันโบกแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “เสาเฉลียง” ซึ่งเป็นแท่งเสาหินทรายขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายดอกเห็ดที่เกิดจากน้ำกัดเซาะผุกร่อนและลมพัดพาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยล้านปี โดยแท่งเสาเฉลียงมีทั้งหมด 3 แท่ง แต่ละแท่งจะมีความสูงแตกต่างกันคือ แท่งเสาสูงที่สุดจะสูงจากระดับพื้นหินที่แท่งหินตั้งอยู่ประมาณ 7 เมตร กับแท่งเสาเตี้ยสูงประมาณ 5 เมตร และมีแผ่นหินหนาขนาดใหญ่ปลายด้านหนึ่งวางอยู่บนพื้น ส่วนอีกด้านหนึ่งมีเสาเตี้ย ๆ ค้ำยันค่ะ อีกทั้งบริเวณใกล้กันถัดจากเสาเฉลียงขึ้นไปทางเนินเขายังมี “ลานหินแตก” ที่เป็นจุดเด่นน่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งลานหินแตกเกิดจากเปลือกโลกยกตัว ทำให้ชั้นหินโก่งงอและเกิดรอยเลื่อน/รอยแตก โดยมีลักษณะเป็นแนวหรือร่องคล้ายกับแผ่นดินแยกตัวออกจากกันกว้าง ยาว และลึกประมาณ 0.5 x 66 x 4 เมตรค่ะ จากนั้นเรานั่งรถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ “อุทยานแห่งชาติผาแต้ม” กันต่อ ซึ่งอุทยานแห่งชาติผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขงกั้นพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งระหว่างไทย-ลาว และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่สวยงามเป็นแห่งแรกของไทย แม้ว่าจะไม่ได้ชมพระอาทิตย์ แต่ก็สามารถชมทัศนียภาพเบื้องล่างที่มีแม่น้ำโขงไหลสลับโค้งไปมาสวยงามไปอีกแบบค่ะ ด้วยความที่ต้องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวให้ครบทุกแห่ง ประกอบกับเคยมาเที่ยวชมที่นี่เมื่อประมาณปี 2559 เลยชมวิวแค่ด้านบนเท่านั้น ไม่ได้เดินลงไปชมภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ 3,000 - 4,000 ปี ส่วนภาพด้านบนนี้คือภาพที่ไปมาก่อนหน้านั้นแล้ว เสียดายสุดตรงที่ไม่ได้ไปชมน้ำตกแสงจันทร์หรือน้ำตกลงรู เพราะไปในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี่แหละ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมน้ำตกแห่งนี้ได้เฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนมกราคมเท่านั้นค่ะ พอชมวิวสวย ๆ ที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มเสร็จแล้วก็แวะไปกินอาหารกลางวันที่ร้าน “แพอารยา” ซึ่งร้านจะอยู่บนแพที่ต้องเดินลงบันไดและข้ามสะพานไม้ บรรยากาศดีทีเดียว เพราะอยู่ริมแม่น้ำโขง โดยเราสั่งทอดมันปลากราย, ข้าวผัดกุ้ง และกุ้งแม่น้ำโขง รสชาติโดยรวมอร่อยดีค่ะ หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้วก็นั่งรถเลยจากร้านแพอารยาไปอีกนิดเพื่อชม “แม่น้ำสองสี” กันต่อ ซึ่งแม่น้ำสองสีเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แม่น้ำโขงกับแม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกันบริเวณปากมูล ทำให้เห็นสีของแม่น้ำทั้งสองสายแตกต่างกันอย่างชัดเจนและจะผสมกลมกลืนเป็นสีเดียวกันก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยแม่น้ำมูลเป็นน้ำสีใสคล้ายสีคราม ส่วนแม่น้ำโขงเป็นน้ำสีขุ่นคล้ายสีปูน เนื่องจากมีฝุ่นตกตะกอนและสะสมอยู่มาก เรียกกันอย่างง่าย ๆ ว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม” ค่ะ ชมวิวแม่น้ำสองสีแล้วจึงนั่งรถเดินทางต่อไปยัง “เขื่อนสิรินธร” ซึ่งเขื่อนสิรินธรเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านชลประทาน, ด้านอุทกภัย, ด้านประมง, ด้านคมนาคม และด้านการท่องเที่ยว โดยเราชมวิวแค่บริเวณสันเขื่อนและสวนสิรินธรเท่านั้น ไม่ได้นั่งเรือเข้าไปในพัทยาน้อยที่เป็นอ่างเก็บน้ำด้านในเขื่อนค่ะ จากนั้นก็นั่งรถเดินทางต่อไปยัง “วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว” หรือ “วัดเรืองแสง” บนเนินเขาสูง เพื่อรอชมต้นไม้เรืองแสงในตอนกลางคืน ซึ่งไฮไลต์ของวัดแห่งนี้คือ “ต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง” ที่เป็นลวดลายจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระอุโบสถได้ทาสารฟลูออเรสเซนต์หรือสารเรืองแสงไว้รอบ ๆ ต้น ทำให้ต้นไม้เรืองแสงสีเขียวสวยงามที่มองเห็นได้เฉพาะเวลากลางคืน โดยเป็นฝีมือการออกแบบของช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิตในภาพยนตร์เรื่องอวตาร ด้วยความที่เรามาถึงวัดในช่วงบ่ายแก่ ๆ เย็น ๆ เลยถ่ายรูปวิวสวย ๆ บริเวณรอบวัดไปพลาง ๆ ก่อนค่ะ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ต้นกัลปพฤกษ์ด้านหลังพระอุโบสถจะเริ่มเรืองแสงสีเขียวขึ้นเรื่อย ๆ ตัดกับสีท้องฟ้าสวยงามจนต้องถ่ายภาพแบบรัว ๆ ยิ่งถ้ามาชมในช่วงคืนเดือนมืดก็จะยิ่งเห็นทั้งต้นไม้เรืองแสงและดวงดาวส่องแสงสุกสกาวเต็มท้องฟ้ารายล้อมพระอุโบสถได้อย่างชัดเจนและสวยงามมากขึ้นค่ะ ชมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงแล้วก็เดินมากราบไหว้พระประธานที่อยู่ภายในพระอุโบสถสีปัดทอง ซึ่งพระประธานมีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธชินราชในจังหวัดพิษณุโลก เพียงแต่จะไม่มีส่วนรัศมี โดยฉากหลังทำเป็นต้นโพธิ์และติดด้วยแผ่นพระทองไว้ตรงเบื้องบนค่ะ หลังจากชมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงที่วัดภูพร้าวแล้วก็นั่งรถไปกินอาหารเย็นที่ร้านข้าวต้มข้างทางแห่งหนึ่ง แต่จำชื่อร้านไม่ได้ 😅😅😅 หลังจากกินข้าวเสร็จก็นั่งรถไปเช็กอินเข้าที่พักที่โรงแรม “วี โฮเทล อุบลฯ” และอาบน้ำนอนค่ะ รุ่งเช้าหลังจากเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมแล้วก็เดินทางข้ามจังหวัดไปยังจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อชมปราสาทขอมที่ “วัดสระกำแพงใหญ่” ซึ่งวัดสระกำแพงใหญ่มี “ปราสาทขอม” เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์ที่สุดของจังหวัด และเป็นโบราณสถานอายุกว่า 1,000 ปี อีกทั้งภายในพระอุโบสถยังประดิษฐานรูปหล่อปั้นองค์ใหญ่ของ “หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่และเป็นเกจิชื่อดังของจังหวัดศรีสะเกษนั่นเองค่ะ จากนั้นก็เดินทางไปชมปราสาทบ้านปราสาทที่เป็นจุดเด่นของ “วัดปราสาทพนาราม” จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งปราสาทบ้านปราสาทเป็นปราสาทก่ออิฐ 3 หลังที่ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อประดิษฐานเทพเจ้าตรีมูรติตามคติความเชื่อศาสนาพราหมณ์ โดยชาวบ้านถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพสักการะและเชื่อว่าหากมาขอพรหรือบนบานก็จะสมหวังดังปรารถนานั่นเองค่ะ พอชมปราสาทบ้านปราสาทที่จังหวัดศรีสะเกษก็นั่งรถเดินทางกลับเข้าจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อกินอาหารเที่ยงที่ร้าน “อินโดจีน” ร้านอาหารเวียดนามเก่าแก่ชื่อดังที่เปิดมานานกว่า 70 ปี ตกแต่งร้านด้วยสไตล์วินเทจ มีทั้งแบบ Open Air และห้องแอร์ ซึ่งแต่ละเมนูเป็นรสชาติต้นตำรับ ตำรับ มีเมนูเด็ดหลายเมนู โดยเราสั่งยำหมูยอ, ข้าวเกรียบปากหม้อญวน, กุ้งพันอ้อย และกวยจั๊บญวน รสชาติรวม ๆ คืออร่อยค่ะ ชอบทุกเมนูจริง ๆ 5555 กินอาหารเที่ยงเสร็จก็แวะซื้อของฝากอย่างพวกหมูยอที่ร้านต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลาก่อนนั่งรถต่อไปยังสนามบินอุบลราชธานี พอนั่งรถไปถึงสนามบินแล้วก็คืนรถเช่าให้กับเจ้าของรถและเดินเข้าไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ เมื่อเช็กอินแล้วก็นั่งเล่นสักพักใหญ่ ๆ บริเวณเคาน์เตอร์เช็กอินและประตู Gate เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ จนกระทั่งถึงเวลาขึ้นเครื่องก็เข้าแถวขึ้นเครื่อง ระหว่างเครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้ากลับถึงกรุงเทพฯ ที่สนามบินดอนเมืองก็ถ่ายรูปวิวสวย ๆ ยามค่ำคืนเบื้องล่าง เดินทางเพียงชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัยค่ะ เฮ้ ๆๆ!!! 😊😊😊 รีวิวทริปเที่ยว “นั่งรถไฟไปอุบลฯ” ม่วนซื่นชิลล์หลายเด้อ!!! จบไปแล้ว สำหรับใครที่อยากลองไปเที่ยวจังหวัดอุบลฯ ทางรถไฟล่ะก็...ลองเที่ยวกันดูนะคะ สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน หรือถ้านึกไม่ออกว่าเมืองอุบลฯ มีสถานที่เที่ยวที่ไหนบ้าง? สามารถเข้าไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ “รวม 12 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีที่ต้องเที่ยวชม!” ค่ะ 😊😊😊 พิกัด: วัดพระธาตุหนองบัว, พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดภูถ้ำพระศิลาทอง, ร้านบ้านกงพะเนียง, วัดบุ่งขี้เหล็ก, หาดทรายสูง, หาดชมดาว, บ้านสวนณัฐชนา, ร้านครัวสามพันโบก, ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี, สามพันโบก, เสาเฉลียง, อุทยานแห่งชาติผาแต้ม, ร้านแพอารยา, แม่น้ำสองสี, เขื่อนสิรินธร, วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว, โรงแรมวี โฮเทล อุบลฯ, วัดสระกำแพงใหญ่, วัดปราสาทพนาราม, ร้านอินโดจีน ออกแบบหน้าปกใน Canva และ Photoshop โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !