พบกันครั้งแรกปี 2523 แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพปี 2527 กลับมาพบกันใหม่ ปี 2563 ห้วงเวลา 36 ปี พวกเราไปทำอะไรกันมาบ้าง ชีวิตในวัยเรียนของเด็กอยู่หอของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทั้งสี่คน โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ โลดโผน มีหลายรสชาติ ด้วยเงินที่พ่อแม่ให้อย่างจำกัด พอเพียงค่าข้าวค่าขนม เราไปเกเรที่ไหนไม่ได้มาก เพราะไม่มีตังค์ เพื่อนสองคนเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี คนนึงอยู่ในตัวเมือง อีกคนอยู่เดชอุดม รู้ว่าเราสองคนมาจากนครสวรรค์ เพื่อนทั้งสองจึงอาสาพาเที่ยว เราไม่เคยมาอุบล เพื่อนบอกงั้นจัดให้ ไปเที่ยววัดเลยนะ ในเมืองมีวัดสวย ๆ เยอะมาก ภรรยาเพื่อน คุณวรรณา ก็เป็นคนอุบล รับหน้าที่ตากล้องถ่ายภาพ เพื่อนขับพาออกจากเมืองอุบลประมาณ 70 กม. มุ่งสู่วัดภูพร้าว ที่ช่องเม็ก (ชายแดนไทย กับ สปป.ลาว) ถนนกว้างนะ แต่ยังไม่เสร็จดี ขับมาเพลินๆ อยู่ๆก็มีแบริเออร์วางกั้น ไม่มีคำเตือน เจอก็เจอเลย อันตรายมาก บางช่วงแยกเลน บางช่วงรถสวนกันได้ เพื่อนที่ขับเป็นคนเดชอุดมบอกชินแล้ว เจอประจำ เราบอกว่าถ้าเป็นนครสวรรค์ รับรอง ต้องมีอุบัติเหตุหลายครั้ง พวกเราแวะเขื่อนสิรินธรเพราะถึงก่อน เมื่อมาถึงวัดภูพร้าว ( ที่มาถึงก่อนช่องเม็กไม่กี่กิโล ) แดดร่มแล้วประมาณสี่โมงเย็น คนยังไม่มาก เรารีบถ่ายรูปก่อนเลยด้านหน้าของวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นลานกว้างสวยงาม อยู่สูงสุดบนเขานี้ มองไปทางซ้ายขวา เห็นวิวโล่งด้านล่างไกลสุดสายตา แล้วเข้าไปกราบพระด้านใน ตกแต่งเรียบง่าย พระประธานสีทองโดดเด่น เห็นแล้วรู้สึกถึงความสงบ อุโบสถเปิดโล่ง แบบคล้ายๆทางเหนือ บนนี้อากาศสะอาด หายใจสะดวก ( เคยได้กลิ่นอุโบสถแบบเป็นอาคารปิดไหม จะมีกลิ่นอับ ) เพื่อนอีกคน กำลังไหว้พระอยู่ด้านหลังพวกเรา ด้านหน้ามีรูปปั้นพญานาคตรงบันได ที่พื้นตกแต่งใหม่ เป็นโมเสคเล็ก ๆ แปะหลายสี ตัดกับสีเหลืองเส้นใหญ่เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ พวกเราเดินไปด้านข้าง จุดนี้เสร็จแล้ว สีชัดเจนมาก แปะโมเสคเหมือนกระเบื้องห้องน้ำแบบสมัยก่อน รุ่นหนุ่มสาวสมัยนี้คงไม่ทัน การแปะกระเบื้องแนวนี้รุ่นเราเลย ไม่แก่เท่าไรเนาะ เค้าบอกสีที่ทา เป็นชนิดที่เก็บพลังแสงอาทิตย์ตอนกลางวัน มาสะท้อนตอนกลางคืน เราเดินไปด้านข้าง กำลังมีคู้รักใส่ชุดไทยสวยงามมาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน เราก็เลยขอถ่ายมุมสวยแบบเค้าบ้าง มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะ คุณวรรณา สั่งซ้ายขวา เหมือนขบวนการเพาเวอร์เรนเจอร์มีแค่สี่ตัว เอ๊ย คน ทำตามสั่งอย่างสนุกสนาน เอาไว้ไปดูที่บ้านยามคิดถึงกัน เดินไปรอบ ๆ เมื่อยก็พัก ด้านนี้เรียบง่าย ลานที่เรานั่งพัก กว้างขวาง น่านอนเล่นเป็นที่สุด ด้านหลังพื้นสีเรียบ ๆ (ต่างจากด้านหน้า จะมีพื้นหลายสี) เราคิดว่า อันนี้เป็นพื้นแบบเดิมที่มีแอ่ง ที่เราเห็นรูปคนอื่นถ่ายมา มีน้ำขังในแอ่งตอนหลังฝนตก เค้าต้องจะทำให้เหมือนแบบด้านหน้า คือใส่ปูนในแอ่ง แล้วแปะลายโมเสคสีสี ด้านหน้า (ที่อยู่ด้านข้าง) มีสนามหญ้ากว้าง เพิ่งปลูกต้นไม้ตกแต่ง ต้นยังเล็กอยู่เลย ทางเดินวนรอบ ๆ ทำให้เดินดูเพลิดเพลินดี วัดนี้อยู่สูง ตรงไหนละช่องเม็ก มองไปฝั่งตรงข้ามไกล ๆ นั่นเลย เป็นด่านช่องเม็ก เห็นหลังคาขาวทางขวาเป็นอาคารของไทย ที่เห็นไกลไปทางซ้ายเป็นสปป.ลาว น้ำในแม่น้ำแห้งมาก มองเห็นดิน ทราย ใต้พื้นน้ำโผล่เป็นระยะ น้ำแห้งจนดูท่าจะเดินข้ามได้ ท้ากันว่า ลองลงไปเดินดูไหม เฮ้ย พูดเฉย ๆ ยังไม่กล้าจริง กลัวจมแอ่งแล้วขึ้นไม่ได้ แถวนี้ในน้ำมีจระเข้รึเปล่า คนนครสวรรค์กลัวนะ จระเข้เนี่ยเก่ง อยู่บนบกก็วิ่งเร็วมาก อยู่ในน้ำยิ่งไม่ต้องพูดถึง เค้าว่าไฮไลท์คือด้านหลัง ต้นกัลปพฤกษ์ทาสี เวลากลางคืนจะสะท้อนแสงสวยงาม คนสมัยใหม่เลยตั้งชื่อเล่นให้วัดนี้ว่า วัดเรืองแสง ...ใกล้เย็นคนเริ่มทยอยมา มุมนี้ก็สวยดีนะ ต้องมี ไปอวดลูกหลาน ว่ามาเหมือนกัน และมีภาพเพื่อนสี่คน ที่เพิ่งได้มาเจอกันที่อุบลราชธานี คุณวรรณา ช่างภาพตลอดทริป ขอถ่ายแบบเซลฟี่ด้วย ไม่กลัวหน้าใหญ่ ข้างหลังสี่คนนั่นกลัวหน้าใหญ่กันทุกคนรึเปล่า ถอยเสียไกล ลองถ่ายย้อนแสงดู คิดอะไรกันอยู่น้า เอาไว้ในใจ ไม่ต้องบอกก็ได้ ที่คนชอบพูดว่า วิวราคาเป็นล้าน คือไอ้วิวโล่ง ๆ ธรรมชาติแบบนี้รึเปล่า วัดนี้ตอนสร้างแรก ๆ ( ที่มีท่านเจ้าอาวาสเป็นคนลาว ) ที่เราเคยเห็นในรูป ตกแต่งเรียบง่าย แบบนั้นก็คงไม่มีคนมาเยี่ยมเยียนกันขนาดนี้ เพราะมันดูไม่มีอะไร ( ให้ถ่ายรูป ) เมื่อวัดปรับปรุงใหม่ ด้วยฝีมือคนรุ่นใหม่ เน้นอะไรที่สวยงาม ถ่ายรูปแล้วปัง อยู่ไกลแค่ไหน คนก็ดั้นด้นมา ถือเป็นอุบายสู่ความสำเร็จ ที่ดึงศรัทธาผู้คนทั่วประเทศไทย ให้เดินทางมาชมความสวยงามของวัดนี้ เราไม่เล่าประวัติศาสตร์ เพราะมีคนเขียนเยอะแล้ว งั้นเล่าวัดในแบบที่ตาเราเห็น พร้อมกับเพื่อนเก่าที่หวนมาเจอกันอีกครั้ง ภาพทั้งหมด โดย คุณวรรณา ศิริบูรณ์พิพัฒนา