สังคมชาวอีสาน เป็นสังคมเกษตรกรรม ส่วนมากแล้วทุกครอบครัวต้องมีผืนนา ปลูกข้าวทั้งเพื่อขาย และเพื่อบริโภค โดยวิถีชีวิตล้วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และภูมิปัญญาเพื่ออนุรักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี บทความนี้ผมจะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับงาน “เลี้ยงปู่ตา” ความเชื่อก่อนทำนา ผสานภูมิปัญญาอีสานขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่เข้าสู่ฤดูฝน ตามปฏิทินจันทรคติ ฝนตกครั้งแรกชาวนาก็จะเริ่มไหว้ผีตาแฮกตามหัวไร่ชายนาของชาวบ้านกันแล้ว จากนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ก็จะมีการประชุมเพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงปู่ตา ขอทำความเข้าใจสักนิดนะครับ คำว่า “ปู่ตา” ไม่มีตัวตน แต่เป็นความเชื่อในแง่ของผู้คุ้มครองชุมชน บ้านเมือง คอยปกปักรักษา และดูแลชุมชน ตลอดจนฟ้าฝนที่จะตกลงมา หากมองในมิติสังคมจะเห็นว่าเป็น “เนติธรรม” อย่างหนึ่งที่คนในชุมชนจะต้องปฏิบัติไปตามทำนองคลองธรรมเดียวกัน โดยพื้นที่ของดอนปู่ตา จะเป็นพื้นที่ป่าสงวนไปในตัว ทุกคนในชุมชนไม่มีสิทธิ์เข้าไปทำลาย ทำให้ธรรมชาติในพื้นที่แห่งนั้นอุดมสมบูรณ์การเตรียมงานจะเริ่มตั้งแต่ประมาณตี 4 บ้านทุกหลังจะเตรียมไก่ 1 ตัว (พร้อมต้ม) พร้อมด้วยใบไผ่มัดเป็นรูปคน ตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว จากนั้นก็จะนึ่งข้าว เตรียมพริก เตรียมหัวหอม เครื่องปรุงอื่น ๆ เหล้า หรือน้ำส้ม น้ำหวานก็ได้ เวลาประมาณตี 5 ก็จะรวมกันที่บ้านปู่ตา จากนั้น “เฒ่าจ้ำ” ก็จะเป็นผู้นำทำพิธีกรรมการขอขมา ขอน้ำฝน จากปู่ตา แล้วจึงเสี่ยงทายฟ้าฝน โดยใช้ไม้ไผ่ยาวฟาดจากนั้นก็จะมาวัด หากไม้ไผ่ยาวออก ก็แสดงว่าฝนฟ้าจะดี แต่ถ้าสั้นเข้า หรือเท่าเดิม ก็แสดงว่าฝนฟ้าจะไม่ดี แล้วจึงไปเสี่ยงทายดูคางไก่โค้ง แสดงว่าฝนดี แต่ถ้าคางไก่ไม่โค้ง ก็แสดงว่าฝนแล้ง ต่อจากนั้นจึงนำไก่ที่ชาวบ้านทุกคนนำมาไปต้มรวมกัน แล้วจ่ายแจกให้กับทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านก็ถือว่าเสร็จพิธีพิธีกรรม “เลี้ยงปู่ตา” แต่ละที่ก็จะมีธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละหมู่บ้านก็จะแตกต่างกันออกไป แต่โดยมากก็จะมีพิธีกรรมหลัก ๆ ตามที่ผมได้กล่าวมาแล้วคล้ายคลึงกัน พิธีกรรมเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับการสร้างระเบียบสังคม และรักษาพื้นที่ธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ วางแผนก่อนการทำไร่นา การเลี้ยงปู่ตาจึงมีมิติมากกว่าความเชื่อแต่เป็นภูมิปัญญาที่ให้ภาพของการบริหารจัดการในชุมชนภาพถ่ายที่ 1 โดย ผู้เขียนภาพถ่ายที่ 2 โดย เทียน แผลงฤทธิ์ภาพถ่ายที่ 3 โดย ผู้เขียน