ไปเที่ยวอุบลบ้านฉันกันไหม ? ในประเทศไทยของเรามีที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายหลายเเห่งทั้งทะเล,ภูเขาเเละวัดวาอารามทุกที่ล้วนมีคุณค่าเเละความสวยงามเเตกต่างกันออกไปหากใครกำลังมองหาที่ท่องเที่ยวอยู่ล่ะก็อยากจะขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์กันที่จังหวัดอุบลราชธานีนะคะ ในจังหวัดอุบลราชธานีนั้นมีที่เที่ยวมากมายทุกที่ล้วนมีเสน่ห์ที่น่าไปสัมผัสบรรยากาศเป็นอย่างยิ่งเเละในวันนี้จะขอพาไปเที่ยวที่นี่เลยค่ะ วัดสิรินธรวรามภูพร้าวหรือวัดภูพร้าว วัดเรืองเเสง ที่คนมักจะเรียกกันจนติดปากว่าวัดภูพร้าว วัดนี้มีความอะเมซิ่งน่าตื่นตาตื่นใจคือพอตอนเย็น ๆ มืด ๆ เเล้วจะมีเเสงวิบวับ ๆ ส่องประกายความงามให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างร้องอุทานออกมาว่าโอ้โห...สวยจังเลยนะซึ่งเป็นไฮไลต์เด็ดสุดของวัดนี้เลย 👍👍ใช่เเล้วค่ะที่นี่คือวัดสิรินธรวรารามภูพร้าวหรือที่คนส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าวัดเรืองเเสงนั่นเองค่ะ วัดภูพร้าวหรือวัดสิรินธรวรารามเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงวัดนี้สร้างโดยท่านพระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างท่านได้มาปักกลดที่ภูพร้าวเเห่งนี้ในปีพ.ศ. 2497-2498 เเละสร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นสถานที่บำเพ็ญบุญระหว่างพี่น้องชาวไทย-ลาว เเละให้มีความสามัคคีปรองดองกันระหว่างประเทศ หลังจากนั้นพระอาจารย์บุญมากท่านก็ได้เดินทางกลับไปยังประเทศลาวเเละทิ้งร้างมานานหลายปีจนในปีพ.ศ.2542 มีพระครูกมลภาวนากร ลูกศิษย์ท่านที่มาจากวัดภูหล่นอำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานีได้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดเเห่งนี้ใหม่ต่อมาในปีพ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา หรือว่าวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เเละเมื่อพระครูกมลละสังขารเเล้วก็มีลูกศิษย์คือพระครูปัญญาเข้ามาสานต่องานสร้างวัดจนถึงปัจจุบัน ที่วัดเเห่งนี้ตัวอุโบสถมีต้นเเบบมาจากวัดเขียงทองประเทศลาวซึ่งเสาเเต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือโดยรอบนอกเป็นลายดอกบัวเเละสัตว์ทั้งหลายตามคติดอกบัว 4 เหล่าซึ่งประดิษฐ์ได้อย่างสวยงามเลยทีเดียวส่วนตรงทางเดินเข้ามานั้นเป็นต้นสาละ เเละนี่คือประวัติโดยสังเขปของวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ในวันนี้นั้นเมื่อมาถึงวัดอันดับเเรกคือไปไหว้พระขอพรกันค่ะ ที่นี่พระ ประธานเมื่อก่อนนั้นจะมีลักษณะคล้ายกันกับพระพุทธชินราชในจังหวัดพิษณุโลกภายหลังมีการนำส่วนรัศมีออกไปเพื่อให้กลมกลืนกันยิ่งขึ้นกับฉากหลังซึ่งเป็นต้นโพธิ์ติดด้วยเเผ่นทองสวยงามมากหลังจากที่ขอพรพระให้ท่านคุ้มครองให้เจอความสุขความโชคดีตลอดไปเสร็จเเล้วเราก็พากันเดินมาชมวิวทางด้านหลังของวัดกันเลยซึ่งขอบอกเลยว่าวิวสวยมาก ๆ ได้มองเห็นบรรยากาศรอบ ๆ ตัวที่มองเเล้วสบายตาสุด ๆ เลยจ้า😊 วัดเเห่งนี้นอกจากจะมีความงดงามเเล้วยังมีบรรยากาศที่ดีมากอากาศปลอดโปร่งโล่งสบายเหมาะที่จะพาปอดของเรามาสูดอากาศบริสุทธิ์มาก ๆ เมื่อเดินมาทางด้านหลังของวัดจะมีจุดให้ชมวิวทิวทัศน์ซึ่งในจุดนี้เราสามารถมองเห็นมุมกว้างได้ไกลมากมองไปเห็นประเทศเพื่อนบ้านเลยนั่นก็คือประเทศลาวซึ่งเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย มุมนี้วิวสวยจริง ๆ ค่ะมองลงไปจะเห็นเป็นลำน้ำโขงที่กั้นเขตเเดนไทย-ลาว เดินชมวิวทิวทัศน์ในวันนี้โชคดีมีสายรุ้งกินน้ำด้วยซึ่งเด็ก ๆ ที่มาเที่ยวรวมทั้งลูกหลานของเราตื่นเต้นกันใหญ่เลยต่างส่งเสียงชี้ไม้ชี้มือไปที่สายรุ้งที่เเสนสวยนั้นทำให้ผู้ใหญ่อย่างเรายิ้มตามเลยมีรุ้งกินน้ำฟากทางโน้นเเสดงว่าที่นั่นฝนตกเเน่นอนค่ะ...เมื่อเวลาผ่านไปทางฟากฝั่งโน้นฝนหยุดตกส่วนทางฝั่งนี้ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างมาชมวิวทิวทัศน์อีกด้านหนึ่งกันต่อเลยจ้า จุดชมวิวทิวทัศน์มองรอบ ๆ พระอุโบสถก็ช่างงดงามไปทุกมุมจริง ๆ เมื่อเราได้มองเเบบนี้มันทำให้ใจเรารู้สึกผ่อนคลายสบายใจยิ่งนัก เมื่อเวลาเริ่มผ่านไปเวลาใกล้จะเย็นเเล้วท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นยามค่ำย่ำสนธยา เเสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ช่างมีเสน่ห์เหลือเกินมองเเล้วชวนให้คิดถึงความหลังคิดถึงบรรยากาศตอนที่ยังเป็นเด็กเมื่อเห็นเเสงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเเบบนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่นั่นก็เเสดงว่าถึงเวลานกกาจะบินกลับรังเเล้ว พ่อกับเเม่เคยบอกเอาไว้ให้เรารีบกลับไม่ว่าจะไปที่ไหนเมื่อใกล้ค่ำต้องรีบกลับบ้านพูดเเล้วคิดถึงอดีตเลยค่ะ😊 บรรยากาศด้านหลังใกล้จะค่ำเเล้วเก็บภาพสวย ๆ เอาไว้บันทึกในความทรงจำ เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เรารอคอยก็มาถึงเเล้วเวลาหมุนไปเริ่มเย็นเเล้วพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำเเละตกดินไปเเล้วบรรยากาศรอบวัดก็เป็นเเบบนี้จ้าเริ่มมีเเสงส่องออกมาจากต้นไม้เรืองเเสงเเต่การมองด้วยตาเปล่าอาจจะไม่ชัดเหมือนภาพที่ถ่ายออกมาเเละถ้าอยากจะได้ภาพที่สวยงามที่สุดต้องใช้กล้องบันทึกภาพเอานะคะเพราะถ้าใช้มือถือภาพอาจจะสวยไม่เท่าใช้กล้องถ่ายภาพ ส่วนเวลาที่เหมาะสำหรับการชมเเละถ่ายภาพก็คือ 18.00-20.00 น.ยิ่งในคืนเดือนมืดความสว่างของวัดเรืองเเสงยิ่งเห็นชัดเจนเเละสวยงามมาก ๆ บางครั้งก็จะมีดวงดาวให้เราได้เห็นความสวยงามบนท้องฟ้าอีกด้วย ความมหัศจรรย์ของต้นไม้เรืองเเสงนี้เป็นการออกเเบบโดยช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ โดยได้เเรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องอวตารโดยการจำลองต้นไม้มีชีวิตในป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาสซึ่งคือต้นกัลปพฤกษ์ต้นไม้เรืองเเสงนี้ช่างเป็นผู้ลงมือติดโมเสกเเต่ละชิ้นด้วยตนเองโดยใช้สารเรืองเเสงหรือสารฟลูออเรสเซนต์มีคุณสมบัติคือรับเเสงจากพระอาทิตย์ในตอนกลางวันเเล้วจะฉายเเสงในตอนกลางคืนเป็นการคายพลังงานออกมานั่นเอง หลังจากที่ได้เห็นได้ชมความงามของวัดเรืองเเสงกันเรียบร้อยเเล้วถือว่าวันนี้เป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดได้ไหว้พระขอพรเเละพักผ่อนกับครอบครัวได้สัมผัสบรรยากาศดี ๆ ชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ เเละสูดอากาศบริสุทธิ์กันอย่างเต็มปอดเลยทีเดียวจะมาเที่ยวกับเพื่อน ๆหรือครอบครัวก็เหมาะมากค่ะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ถ้ามาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยจะมีการสรงน้ำพระพุทธรูปศักสิทธิ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกท่านได้ร่วมกิจกรรมเพื่อความเป็นศิริมงคลเเละอีกหนึ่งอย่างคือนักท่องเที่ยวท่านใดที่ใส่กางเกงขาสั้นมาทางวัดก็มีบริการผ้าถุงใว้เปลี่ยนให้ใส่เพื่อที่จะไปไหว้พระในโบสถ์ด้วยค่ะรวมทั้งที่นี่ก็มีน้ำดื่มฟรีไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวกันอีกด้วยหรือบางทีก็มีโรงทานมีคนทำข้าวต้มหรือนำขนมมาเเจกจ่ายให้ฟรีเเต่ในบางทีก็หมดก่อนนะคะเพราะว่าในเเต่ละวันมีผู้คนมาเที่ยวที่นี่เยอะมากนั่นเอง อีกอย่างที่สำคัญวัดนี้มีห้องน้ำไว้คอยบริการฟรีทุกอย่างห้องน้ำก็สะอาดมากค่ะ สำหรับการมาเที่ยวที่วัดภูพร้าวนี้มีความประทับใจอีกหลายอย่างเลยค่ะบรรยายเเทบไม่หมดเพราะเหตุนี้จึงอยากจะขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวที่วัดเรืองเเสงกันนะคะอยากให้มาสัมผัสบรรยากาศเเละความที่นี่ซึ่งอาจจะทำให้ท่านติดใจอยากมาอีกเเน่นอนค่ะส่วนท่านที่สนใจจะเดินทางมาเที่ยวที่วัดเรืองเเสงการเดินทางสะดวกมากมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวเเละรถมอเตอร์ไซด์ก็ขับขึ้นมาได้เลยเพราะมีทางลาดยางจากข้างล่างมาจนถึงวัดบนภูเขาทางขึ้นสะดวกมากค่ะ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือวัดภูพร้าว ( วัดเรืองเเสง ) ตั้งอยู่ที่ : 99หมู่6 บ้านอ่างประตู ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี 34350 เวลาเปิดทำการ :เปิดทำการทุกวันเวลาประมาณ 6.00- 21.00 น. สอบถามรายล่ะเอียดได้ที่ (ททท. ) การท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทยจังหวัดอุบลราชธานี โทร: 045-247770 ภาพปกเเละภาพประกอบถ่ายโดยผู้เขียนAntima Lohakoon ขอขอบคุณน้าที่พาไปเที่ยวเเละขอบคุณน้องชายจาเจ๋งที่ถ่ายรูปสวย ๆของวัดในยามค่ำคืนให้จ้า@Chanchai Lohakoon