ภาพปกโดยผู้เขียนจากที่เคยกล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้าถึงความเป็นบุคคลระดับปานกลาง ในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นทางออกอีกทางหนึ่ง นั่นคือ แสวงหาแรงผลักดันจากความแตกต่าง ด้วยการเป็นเคล็ดลับที่ 11 ที่ David Niven กล่าวไว้ในหนังสือ 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จเราต่างก็รู้ดีว่า มนุษย์เรามีทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่ประสบความสำเร็จ มีทั้งคนที่มองภาพรวมขนาดใหญ่และคนที่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่คนบางคนมีความถนัดในด้านการวางแผน แต่กลับไม่ใส่ใจที่จะดำเนินการตามแผนที่ได้วางเอาไว้ ทว่าคนอีกกลุ่มแม้มีความต้องการที่จะเห็นความสำเร็จของโครงการ แต่กลับไม่รู้จักที่จะคิดแผนการใหม่ ๆ ดังนั้น สาระสำคัญของเคล็ดลับนี้จึงบอกว่า การที่นําเอาคนที่มีลักษณะนิสัยและทัศนคติหรือมุมมองที่แตกต่างกัน มาเข้าร่วมในโครงการเดียวกันที่ได้วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี นับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการแข่งขันหรือการสร้างสรรค์อะไรบางอย่างขอบคุณภาพจาก Ultimatearm ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนในที่นี้ David Niven ได้กล่าวถึง Dr. Howard Murad (ดร. โฮวาร์ด มูราด) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ในแถบลอสแอนเจลิส ซึ่งได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับความกังวลของผู้ป่วยเอาไว้ว่า “ความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในการดูแลของเขาจำนวนหลายรายนั้น มักจะเป็นความกังวลซึ่งเกิดจากการต้องตัดสินใจเลือกระหว่างยาที่ใช้ในการบำบัดรักษา หรือการดูแลในด้านความสวยความงาม”นายแพทย์ Murad เชื่อว่าผู้ที่ทำธุรกิจทั้งสองประเภทนี้ ไม่มีใครที่จะพอใจกับความกังวลดังกล่าว เขากล่าวเสริมว่า “ผมต้องการที่จะจัดการกับความกังวลของผู้ป่วย และถ้าหากผู้ป่วยของผมมีความต้องการที่จะใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผิวหน้า มากกว่าการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ ผมก็ยินดีที่จะทำตาม”ขอบคุณภาพจาก Ultimatearm ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียน“คําถามที่สำคัญก็คือ ถ้าหากคุณไม่เคยเป็นโรคอะไรเลย แล้วคุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงได้หรือ ซึ่งคําตอบก็คือ ไม่ เนื่องจากสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณแข็งแรง ก็คือการมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและความรู้สึกว่าตัวของคุณนั้นสามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ” Murad กล่าวอย่างไรก็ตาม 20 ปีให้หลัง เมื่อได้มีการรวมเอาการดูแลสุขภาพและความงามเข้าด้วยกัน ธุรกิจของนายแพทย์ Murad ซึ่งเป็นการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความงามและการบำบัดรักษาด้วยสปาก็สามารถทำเงินให้เขาได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์ต่อปีเลยทีเดียวขอบคุณภาพจาก Ultimatearm ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนต่อมาภายหลัง Murad ได้เปิดเผยว่า “เงินรายได้มหาศาลเหล่านี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากผมไม่ได้เป็นคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ผมมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป อีกทั้งผมยังได้รับความช่วยเหลือจากคนที่รู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้อีกด้วย”อันนี้ต้องโน้ตคณะทำงานที่ประกอบด้วยคนที่มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยคนที่มีบุคลิกลักษณะคล้ายคลึงกันถึง 14 เปอร์เซ็นต์ขอบคุณภาพจาก Ultimatearm ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนคุยกันหลังอ่านเสร็จจากบทความข้างต้น จะเห็นว่า David Niven ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม ซึ่งเขาให้สาระสำคัญของเคล็ดลับนี้ไว้ว่า การนําเอาคนที่มีลักษณะนิสัยและทัศนคติหรือมุมมองที่แตกต่างกัน มาร่วมจัดการกับปัญหาหรือสร้างสรรค์อะไรบางอย่างที่ได้วางแผนมาอย่างดีจะทำให้ประสบความสำเร็จที่งดงาม อย่างไรก็ตาม ต่อสาระสำคัญดังกล่าว ผมมีประเด็นต้องอภิปราย 2 ประเด็น ได้แก่ประเด็นแรก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแผนที่ดีเป็นอย่างไรและใครกันควรเป็นคนวางแผนนั้น? ต่อประเด็นนี้มันมีประเด็นย่อยอยู่ 2 ประเด็น ได้แก่ แผนที่ดีเป็นอย่างไร? และใครกันควรเป็นคนวางแผน?ต่อประเด็นย่อยแรก หากจะกล่าวกันตามตรง มันยากนะครับที่จะพูดถึงเรื่องแบบนี้โดยหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงทฤษฎี ซึ่งสำหรับผมแล้วเห็นว่า แผนที่ดีนั้นจะต้องผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งที่เรากำลังจะทำ แต่มันมีอะไรบ้างหล่ะ? สำหรับเครื่องมือการวิเคราะห์ถึงปัจจัยภายนอก ผมขอแนะนำ SPECTACLES Analysis ส่วนปัจจัยภายใน ผมแนะนำ PRIMO-F Analysis จากนั้นก็ใช้ SWOT Matrix ในการสรุปผลการวิเคราะห์ และเมื่อสรุปเสร็จแล้ว เราจะเห็นต่อไปเองว่าจะกำหนด Vision, Mission และ Strategy อย่างไร ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดของเครื่องมือแต่ละอย่างนั้นผมจะไม่ลงในรายละเอียด แต่หากสนใจก็สามารถหาอ่านได้ตามหนังสือเกี่ยวกับการวางแผนที่มีอยู่โดยทั่วไปต่อประเด็นย่อยที่สอง ผมขอกล่าวหยาบ ๆ เพื่อไม่ให้บทความนี้มีความเป็นวิชาการจนน่าเบื่อเกินไป ต่อคำถามที่ว่า ใครกันควรเป็นคนวางแผน? ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงเพียงในรูปแบบของการทำงานเป็นทีมหรือเป็นกลุ่มนะครับ จากที่กล่าวไปข้างต้นที่ว่าการได้มาซึ่งแผนนั้นจะต้องผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมก่อน ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ทุกคนในกลุ่มหรือในทีมควรที่จะเป็นผู้วิเคราะห์ปัจจัยเหล่านั้นก่อนเป็นเบื้องแรก เนื่องจากหากให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้วิเคราะห์เพียงลำพัง ผมเกรงว่าคนที่เหลือจะไม่อินกันแผนที่จะออกมาสักเท่าไหร่ มากไปกว่านั้น การจะให้เห็นปัจจัยแวดล้อมในแง่มุมที่รอบด้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้บุคคลผู้ซึ่งมีความแตกต่างกันในการนำเสนอ อย่างไรก็ตาม หัวหน้ากลุ่มจะเป็นผู้พาทีมกำหนดแผนในขั้นสุดท้ายในที่สุดส่วนประเด็นที่สอง หากไม่ได้กล่าวในนัยของการทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมหล่ะ เราจะแสวงหาแรงผลักดันจากความแตกต่างในตัวเราได้หรือไม่? คำตอบคือ ได้ครับ!!! แต่จะทำอย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมจะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ ดังนั้น ตามอ่านต่อไปนะครับติดตามผลงานอื่นPodcast 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ โดย David NivenMy Inspire StoryCreditชื่อหนังสือ: 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จผู้เขียน: David Nivenผู้แปล: อิศรา ราชตราชูชื่อเรื่องต้นฉบับ: 100 Simple Secrets of Successful Peopleสำนักพิมพ์ต้นฉบับ: Harper Collins