ภาพปกโดยผู้เขียนด้วยความที่เราเห็นและเข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นผู้มีความรอบรู้อย่างมากมายก่ายกองจึงต้องรีบถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยการพูดที่ทรงพลัง รวดเร็ว และกระตือรือร้น ทว่า David Niven กลับขอให้เรา พูดอย่างช้า ๆ ในเคล็ดลับที่ 19 ของ 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จแม้เรามีสิ่งที่ต้องการจะพูดมากมาย แต่เรากลับมีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว คนเราจึงพยายามพูดมากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ในเวลาอันจํากัด อย่างไรก็ตาม David Niven ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การสื่อสารไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณสิ่งที่เราเอ่ยออกมา แต่สิ่งที่สำคัญในการสื่อสารนั้นคือ ปริมาณของความเข้าใจที่เกิดจากการสื่อสาร ต่างหาก” มากไปกว่านั้น ทั้งจากผลของการศึกษาและประสบการณ์ที่เราได้รับมาจะพบว่า ผู้พูดที่ดีนั้นจะมีความเชี่ยวชาญในการพูดที่สามารถให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย แต่การพูดนั้นกลับมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฟังพอสมควร มากไปกว่านั้น เรายังจะพบอีกว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะพูดอย่างเชื่องช้ากว่าคนอื่น ๆขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนเป็นที่ทราบกันดีว่า David Brinkley (เดวิด บริงค์ลีย์) เป็นผู้สื่อข่าวที่มีลักษณะการรายงานข่าวเฉพาะตัว ซึ่งเขาเองมักจะถูกกล่าวขานถึงในบรรดานักข่าวรุ่นต่าง ๆ อย่างเสมอมา โดย Brinkley นับเป็นผู้ประกาศข่าวรุ่นบุกเบิก เขาเคยเป็นผู้ประกาศข่าวให้กับศูนย์ข่าว NBC News ก่อนที่จะมาเป็นผู้จัดรายการวิเคราะห์ข่าวเช้าวันอาทิตย์อย่างรายการ This Weekอย่างไรก็ตาม เขายกความดีความชอบให้กับคำแนะนําง่าย ๆ จากอาจารย์ท่านหนึ่งที่นําพาชีวิตของเขาไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ โดย Brinkley กล่าวว่า “ครูบอกกับผมว่า ‘ยิ่งคุณพูดเร็วมากเท่าไร คนที่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดก็จะมีน้อยลงเท่านั้น จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ’ และผมก็ทำเช่นนั้น”ขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนอันนี้ต้องโน้ต38 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่พูดอย่างช้า ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มากกว่าบุคคลที่พูดอย่างรวดเร็วขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนคุยกันหลังอ่านเสร็จมาเบรกกันอย่างงี้!!! ใช่ครับ แม้นคนเรามีสไตล์การพูด น้ำเสียง หรือลักษณะท่าทางที่แสดงออกขณะพูดที่แตกต่างกัน แต่ผมก็เชื่อว่าสำหรับการสนทนาที่เหมาะสมนั้นมันมีหลักการหรือแนวทางปฏิบัติกำกับไว้ เพื่อว่าอย่างน้อยเราจะได้เอามาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์บ้าง ซึ่งในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างหลักการที่เรียกว่า PASSION ซึ่งสรุปจากหนังสือ เรียนลัด MBA ภาคปฏิบัติ เขียนโดย Jo Owen และแปลโดย คมสัน ขจรชีพพันธุ์งาม ดังนี้Prepare and purpose: การเตรียมและกำหนดวัตถุ กล่าวคือ การสร้างความชัดเจนให้กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการสนทนา เช่น หากการสนทนาเป็นการหาทางแก้ไขปัญหาบางอย่างร่วมกัน เราต้องทำให้แน่ใจว่าผู้ที่เราสนทนาด้วยจะเห็นพ้องต้องกันว่าปัญหาคืออะไร มากไปกว่านั้น เราควรเข้าใจด้วยว่าความคาดหวังของผู้ที่เรากำลังสนทนาด้วยคืออะไร และสุดท้าย เราจำเป็นต้องมีแผนสํารองหากสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นดังคาดAlignment and rapport: การจัดวางตำแหน่งและความมีไมตรี กล่าวคือ การตรวจสอบและทำให้แน่ใจว่าเราพูดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น หากพวกเขากําลังเดือดดาลมาจากการประชุมก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คงจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีนักสำหรับการตอบรับไอเดียอันยอดเยี่ยมของเรา มากไปกว่านั้น จงกล่าวทุกอย่างด้วยความเป็นมิตรSituation review: ทบทวนสถานการณ์ กล่าวคือ การทำความเข้าใจในมุมมองที่คู่สนทนาของเรากำลังมองเห็น ซึ่งนั่นเองจะเป็นการตกลงกันว่าไอเดียของเราสามารถปรับให้เข้ากับความมุ่งหมายของคู่สนทนาได้หรือไม่ เพียงใด มากไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายพูด เราต้องไตร่ตรองว่าจะเสนอไอเดียของเราต่อไปอย่างไร เพื่อให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนSo what's in it for me? : แล้วฉันจะได้อะไรจากการสนทนานี้ กล่าวคือ แม้คุณรู้ดีว่าคุณเองต้องการอะไร แต่คุณรู้หรือไม่ว่าคนอื่นจะต้องการอะไร? ซึ่งสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การหาคำตอบว่าคุณต้องการอะไร แต่จงหาเหตุผลหรือหลักฐานบางอย่างมาทำให้ผู้ที่คุณสนทนาด้วยเห็นว่าการเห็นด้วยกับคุณเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลIdea: อธิบายไอเดียของคุณให้เข้าใจง่าย ๆ โดยใช้ภาษาของผู้ที่เราสนทนาด้วยมาอธิบายไอเดียของเรา และสรุปสั้น ๆ ว่ามันจะทำประโยชน์อะไรได้บ้างOvercome objections: เอาชนะข้อโต้แย้ง สำหรับข้อนี้จะเป็นผลต่อเนื่องมาจากสิ่งที่เราได้ทำไปแล้วในขั้นที่ 2 และ 3 ซึ่งเราควรรู้ว่าอะไรจะเป็นข้อโต้แย้งของผู้ที่เราสนทนาด้วยจะมีต่อเรา อย่างไรก็ตาม ถ้าเราทำได้ดีในสองขั้นข้างต้นเราจะสามารถจัดการกับข้อโต้แย้งเหล่านั้น พร้อมทั้งสามารถหาทางออกที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาได้อีกด้วยNext steps: ขั้นถัดไป กล่าวคือ เราต้องรู้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปแน่ ๆ แล้วตรวจสอบว่าคนอื่น ๆ เห็นพ้องต้องกันหรือไม่ หากพวกเขายังไม่เห็นด้วย ให้เริ่มขั้นตอนต่าง ๆ ใหม่ตั้งแต่ขั้นที่ 3 เพราะอาจเป็นไปได้ว่าการปูพื้นฐานของเราอาจยังทำได้ไม่ดีพอขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนอย่างไรก็ตาม หลักการข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยหลักการที่เราสามารถใช้ในการสื่อสารกับทั้งคนหรือกลุ่มคนที่เราต้องการสื่อสารเพื่อให้ดูมีเหตุมีผลและน่าเชื่อถือขึ้นมาบ้าง มากไปกว่านั้น แม้เราจะเห็นและเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้มีความรอบรู้อย่างมากมายก่ายกองเพียงใด ทว่าการนำหลักการหรือแนวทางนี้ไปใช้ก็ควรอยู่ภายใต้เคล็ดลับพูดอย่างช้า ๆ ที่ David Niven กล่าวไว้ด้วยติดตามผลงานอื่นPodcast 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ โดย David NivenMy Inspire StoryCredit 1ชื่อหนังสือ: 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จผู้เขียน: David Nivenผู้แปล: อิศรา ราชตราชูชื่อเรื่องต้นฉบับ: 100 Simple Secrets of Successful Peopleสำนักพิมพ์ต้นฉบับ: Harper CollinsCredit 2ชื่อหนังสือ: เรียนลัด MBA ภาคปฏิบัติผู้เขียน: Jo Owenผู้แปล: คมสัน ขจรชีพพันธุ์งามชื่อเรื่องต้นฉบับ: The Mobile MBAปีที่พิมพ์: 2557