ภาพปกโดยผู้เขียนเคล็ดลับที่ 8 ของหนังสือ 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ ของ David Niven คือ มันไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นเราอาจยังไม่ทันสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่เรานึกถึงการประสบความสำเร็จ เราก็มักจะนึกถึงการบรรลุเป้าหมายที่ตนเองมุ่งหวังเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่แปลกใหม่ การได้รับเลื่อนตำแหน่ง หรือการได้เงินเดือนที่สูงขึ้น เราต่างก็คิดว่าถ้าหากเราบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จะทำให้เรารู้สึกประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง แต่คนเรามักจะไม่เปลี่ยนวิธีการประเมินตนเองให้สอดคล้องกับวิธีการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ อันที่จริงแล้ว มนุษย์เรามักจะมองที่ภาพรวมขนาดใหญ่เสียมากกว่าดังนั้น เมื่อคุณได้ทำงานที่แปลกใหม่ ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้น คุณจึงเกิดความรู้สึกกังวลใจแบบเดิม ซึ่งความกังวลใจนี้ทำให้คุณรู้สึกว่าตนนั้นอยากจะบรรลุเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง มากไปกว่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้จะบ่อนทำลายคุณค่าของความสำเร็จที่คุณได้มาด้วยขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนDavid Niven ย้ำว่า “ความสำเร็จสูงสุดนั้นไม่ได้มาพร้อมกับความสำเร็จในอีกขั้นหนึ่ง อีกทั้งความสำเร็จสูงสุดนั้นก็ไม่ได้เกิดมาจากการที่คุณจะประสบความสำเร็จในขั้นต่อไปอีกเช่นกัน ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้สึกของการประสบความสำเร็จนั้นมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับความพยายามทั้งหมดของคุณ รวมไปถึงความเชื่อ ประสบการณ์ และชีวิตของคุณอีกด้วย หากจะกล่าวก็คือ ความสำเร็จนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มิใช่องค์ประกอบเพียงอย่างเดียวแต่อย่างใด”ขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนNiven เล่าถึงสมาชิกของวง Rustic Overtones ว่าพวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวหรือ รถลีมูซีน พวกเขาไม่มีเด็กยกของที่จะมาช่วยยกอุปกรณ์ของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะมีห้องแต่งตัวขนาดใหญ่หรือการประคบประหงมเอาอกเอาใจแต่อย่างใด ทว่าพวกเขาต่างก็รู้สึกมีความสุข เมื่อพวกเขาได้เล่นดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกไปทั่วประเทศ และเมื่อพวกเขาเล่นดนตรีในตอนกลางคืนเสร็จแล้ว สมาชิกของวงก็จะช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ขึ้นรถตู้ที่ดูแสนจะธรรมดาด้วยตัวของพวกเขาเองวง Rustic Overtones เดินสายเล่นดนตรีถึง 250 รอบต่อปี อีกทั้งเพลงของพวกเขานั้นก็ถูกเปิดตามสถานีวิทยุต่าง ๆ ถึง 200 สถานี และซีดีเพลงของพวกเขาก็มียอดขายถึง 34,000 แผ่นแต่กระนั้น วงดนตรีวงนี้ก็ไม่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงขนาดใหญ่และเงินที่ได้จากการเล่นดนตรีส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับการเดินทางไปเปิดการแสดงยังที่ต่าง ๆขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนTony McNabo (โทนี แม็คนาโบ) มือกลองของวงรวมไปถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ต่างก็หวังว่าวงจะประสบความสำเร็จ แต่กระนั้น Tony ก็ได้อธิบายว่า “ถ้าหากคุณไม่ได้รู้สึกมีความสุขในทุก ๆ นาทีที่คุณได้ทำสิ่งเหล่านี้ มันก็หมายความว่าคุณกําลังเดินทางผิด พวกเราเล่นดนตรีเพื่อทุก ๆ คน พวกเราเล่นดนตรีเพื่อตัวของพวกเราเอง พวกเราจะไปเล่นดนตรีที่มุมถนนเพื่อให้คนที่สัญจรไปมาได้ฟัง พวกเรารักการเล่นดนตรี และไม่ว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ ๆ หรือ ขึ้นพาดหัวข่าวว่าบัตรคอนเสิร์ตของพวกเราขายหมดทุกที่นั่ง หรือไม่นั้น พวกเราก็ยังตั้งใจที่จะเล่นดนตรีต่อไป”อันนี้ต้องโน้ตเหตุการณ์ต่าง ๆ อาจจะมีความสำคัญในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่นักวิจัยค้นพบว่า มีความมุมานะในอัตมโนทัศน์ของตน ซึ่งอัตมโนทัศน์ในที่นี้หมายถึง ทัศนคติต่อตัวตนของพวกเขา รวมไปถึงความสามารถของตนเองและอัตมโนทัศน์ ไม่ได้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่ดีหรือเหตุการณ์ที่เลวร้ายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม อัตมโนทัศน์นั้นเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อและความรู้สึกอันเกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทั้งประสบการณ์ภายในครอบครัว และประสบการณ์ในที่ทำงานขอบคุณภาพจาก Eucalyp ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนคุยกันหลังอ่านเสร็จผมได้ทิ้งท้ายในบทความ EP.7 ว่า “ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่ไม่ทำให้เรามีความสุขหล่ะ?” ซึ่งพออ่านถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่า Niven ได้ตอบคำถามข้างต้นพอสมควรแล้ว นั่นคือ เราควรลองเปลี่ยนวิธีการประเมินตนเอง แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ!!! Niven หรือตัวผมเองไม่ได้แนะนำให้คุณต้องทนอยู่กับงานที่คุณเกลียดหรอกนะ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การเปลี่ยนงานก็ไม่ทำให้คุณเปลี่ยนทัศนคติที่คุณมีต่อคุณได้อยู่ดี ซึ่งผมได้อภิปรายประเด็นนี้พอสมควรแล้วในบทความก่อนหน้าหรือแม้แต่จะอธิปรายต่อในบทความถัด ๆ ไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนวิธีการประเมินตนเองต่อความสำเร็จที่คุณได้รับ แม้มันจะไม่ทำให้คุณมีความสุขกับงานที่คุณทำอยู่มากมายอะไรนัก แต่เชื่อเถอะครับว่า มันก็ไม่ทำให้คุณต้องเหยียบย่ำตนเองอยู่ตลอดเวลาเช่นที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งตรงนี้เองบางคนอาจจะเถียงว่า “ฉันให้คุณค่ากับตัวฉันเองพอสมควรนะ” หรือ “คุณเป็นใครและเก่งมาจากไหนที่จะมาแนะนำฉันแบบนี้” ต่อคำถามแรก หากคุณให้คุณให้ค่ากับตนเองหรืองานของตนเองมากเพียงพอที่จะทำให้คุณมีความสุข (จริง ๆ) ผมก็ยินดีด้วยครับ เพราะในโลกที่ผมเจอมา ผมเพียงเห็นว่าคนส่วนใหญ่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนทำอะไรก็ไม่รู้กับสิ่งที่ตนไม่ได้รัก พอนานเข้า ความซึ่งไม่ชอบในสิ่งที่ทำและความแปลกแยกจากตนเองแทบจะตลอดเวลาได้กัดกินตัวตนของเขาจนแทบไม่เหลืออยู่ซึ่งความเป็นเขาเลย และต่อคำถามหลัง ไม่หรอกครับ!!! ผมไม่ได้เป็นใครและเก่งมาจากไหนหรอก เพียงแค่ผมเป็นตัวของผมเองและเข้าใจว่าบุคคลล้วนแล้วแต่ต้องการการย้ำเตือนมากว่าการสอน และถ้าหากว่าคุณได้ตั้งคำถามนี้กับตัวคุณแล้ว แสดงว่าบทความเหล่านี้ที่ผมเขียนขึ้น มันได้ทำหน้าที่ของมันแล้วครับกลับมาเข้าประเด็นตามหัวข้อนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราควรยอมรับความจริงที่ว่า แม้เราได้สัมผัสแล้วซึ่งความสำเร็จที่เราต้องการ ทว่าเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะไม่ต้องการความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไปอีกดังที่ Niven ได้กล่าวไว้ในตอนต้น เพราะเอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้โหยหายอะไรไม่มากกว่าความก้าวหน้าและการดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสังคมที่ดูเหมือนจะมีเหตุมีผลนี่ดอกครับ แต่ก็เช่นเดียวกันอีกเช่นเคย เราจะประคองตนเองอย่างไรให้มีความสุขตลอดการเดินทาง? และผมเชื่อว่าบทความนี้ก็เป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของคำตอบที่มากมายมหาศาลที่เซเปียนส์จะรังสรรค์ได้ติดตามผลงานอื่นPodcast 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ โดย David NivenMy Inspire StoryCreditชื่อหนังสือ: 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จผู้เขียน: David Nivenผู้แปล: อิศรา ราชตราชูชื่อเรื่องต้นฉบับ: 100 Simple Secrets of Successful Peopleสำนักพิมพ์ต้นฉบับ: Harper Collins