ถ้าพูดถึงเรื่องเที่ยวเชื่อว่าหลายคนคงตาลุกวาว ร่างกายกระปรี้กระเป่าขึ้นมาทันที ยิ่งอยู่ในช่วง โควิด-19 กำลังระบาดอยู่นี้ หลายคนที่แพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวช่วงหยุดฤดูร้อนนี้ก็คงเฟลกันน่าดู ผู้เขียนก็เช่นกันครับ วางแผนไว้ซะยาวเหยียดเลย พอถึงเวลาจริง เอ๊า! อิหยังวะ (อุทานเป็นภาษาถิ่น) แต่ไม่เป็นไรครับเราอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อคนที่เรารัก และเพื่อตัวเราเอง ลองมาเที่ยวแบบออนไลน์กันดีกว่าครับ ระหว่างที่กำลังโหยหาการท่องเที่ยว ผู้เขียนได้เปิดดูรูปเก่า ๆ ที่ถ่ายเก็บไว้ตอนออกเที่ยวแล้วนึกถึงสถานการณ์ บรรยากาศ ความรู้สึก ณ ตอนนั้น ก็พอได้อยู่นะ ถึงจะไม่ 100% แต่ทุกการเดินทางย่อมมีความทรงจำดี ๆ ให้เรานึกถึงอยู่เสมอใช่ไหมครับ ว่าแล้วผู้เขียนขอหยิบสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนึงที่เคยไปเที่ยว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกที่หนึ่ง เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งสวยงาม สงบ ร่มรื่นด้วยธรรมชาติแล้วยังให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ และที่สำคัญยังมีตำนานเล่าขานกันมายาวนานอีกด้วย สถานที่ที่ว่านี้ก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นั่นเองครับ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ระยะทางจากตัวเมืองอุดรธานีถึงตัวอุทยานฯ ก็ราว ๆ 70 กิโลเมตร ผู้เขียนเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์คู่ใจ กินลมชมวิวไปตามทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงที่หมายครับ ผู้เขียนออกเดินทางแต่เช้าเลยไม่ได้ทานอะไรมา แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดครับ เพราะที่นี่มีร้านอาหารให้บริการด้วย ผู้เขียนเห็นหลายท่านมาเที่ยวกันแบบครอบครัว เตรียมเสื่อ เตรียมอาหารกันมาทานพร้อมหน้าพร้อมตาแลดูมีความสุขมาก ๆ เลยครับ แต่ท่านใดที่อยากมาแบบชิว ๆ ไม่ต้องเตรียมการณ์อะไรมากมายก็มาฝากท้องที่นี่ได้นะครับ มีอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ ราคาไม่แพงพ่อค้าแม่ค้าเป็นกันเองครับ และในส่วนของห้องน้ำก็ถือว่าดีเลยครับ สะอาด น่าใช้ เอาละ! หลังจากที่ท้องอิ่มเราก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางอีกครั้ง แต่ก่อนไป ขอสำรวจเส้นทางเสียก่อนนะครับ กลัวหลง กลัวหลงป่าหรอ? กลัวหลงรักนักท่องเที่ยวอะ ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มีจุดท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ทางอุทยานจึงจัดทำเป็นเส้นทางให้เลือกทั้งหมด 4 เส้นทาง ขึ้นอยู่กับว่าเราสนใจจะเยี่ยมชมในจุดไหน โดยแต่ละเส้นทางจะมีระยะทางและใช้เวลาในการเดินทางแตกต่างกัน มีตั้งแต่เส้นทางระยะสั้น เน้นเฉพาะจุดไฮไลท์ในเวลา 45 นาที ไปจนถึงเส้นทางโดยรอบ ไปทุกที่ทุกจุดใช้เวลา 2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว และแน่นอนครับมาทั้งทีเราต้องไปให้ครบ ผู้เขียนเลือกเส้นทางที่ยาวทึ่สุด เดินกันยาวไปครับ สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ทางอุทยานฯ ก็มีรถรับ-ส่งนำเที่ยวให้นะครับ อาจจะไปไม่ได้ครบทุกพื้นที่ แต่ก็สามารถเข้าเยี่ยมชมจุดไฮไลท์ได้สบาย ๆ เลยครับ พร้อมแล้ว ไปกันเลยครับ ก่อนอื่นเราต้องชำระค่าเข้าชมก่อนนะครับ 20 บ. สำหรับชาวไทย และ 100 บ. สำหรับชาวต่างชาติ เพื่อที่จะใช้สำหรับทำนุบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ให้สวยงามแบบนี้ตลอดไปครับ ผู้เขียนมีแอบตกใจเล็กน้อยกับพี่ ๆ ชุดแดงที่ยืนรายล้อมป้อมจำหน่ายบัตร และแอบสงสัยอยู่ว่าเขาเหล่านี้คือใคร แล้วจึงไปได้คำตอบอยู่ด้านในอุทยานฯ ครับ ชำระค่าเข้าชมเรียบแล้ว ไปกันเลย! ว่าแต่ ซ้ายหรือขวาดีน้า หลังจากเดินตามป้ายมาสองร้อยกว่าเมตรเราก็ได้เจอจุดแรก จุดนี้ชื่อว่า คอกม้าน้อย หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! คอกม้าอะไร คอกม้าของใคร ทำไมถึงมีชื่อเรียกแบบนี้ มาถึงจุดนี้ผู้เขียนขอเล่าที่มาของชื่อแต่ละจุดในอุทยานฯ เลยก็แล้วกันนะครับ ภูพระบาท เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นทางด้านประวัติศาสตร์ มีความสวยงามตามธรรมชาติผสมผสานกับวัฒนธรรมของมนุษย์ยุคโบราณ และนอกจากนี้ผู้คนในท้องถิ่นยังได้นำเอาตำนานพื้นบ้าน-นิทานพื้นเมือง เรื่อง "อุสา-บารส" ที่เล่าขานกันมายาวนานนำมาตั้งชื่อและเล่าถึงสถานที่ต่าง ๆ บนภูพระบาทอย่างน่าสนใจ และนี่จึงเป็นที่มาของชื่อสถานที่เหล่านี้ครับ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ แนะนำว่าหากต้องการเข้าใจถึงความเป็นมาของชื่อสถานที่หรือความเชื่อของชุมชนในแถบนี้ เราก็ควรจะต้องรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน เรื่อง อุสา-บารส กันด้วยนะครับ กลับมาที่จุดแรกของเรา คอกม้าน้อย มีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่คล้ายดอกเห็ด พื้นด้านล่างเป็นหินถูกสกัดให้เรียบใช้เป็นที่พักพิงได้ นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงจุดนี้ว่า เป็นที่ซึ่งเหล่าบริวารของท้าวบารสนำม้ามาผูกไว้ขณะที่ท้าวบารสมาตามหาเจ้าของพวงมาลัยรูปหงส์ที่นางอุสาห์ได้ลอยไปเพื่อเสี่ยงหาคู่ ถัดมาอีกนิดก็คือ คอกม้าท้าวบารส นั่นเองครับ จุดนี้มีลักษณะคล้ายกับจุดแรก ไม่ใช่คล้ายที่ชื่อนะครับ แต่มีลักษณะเป็นเพิงหินที่มีรูปร่างคล้ายกัน แต่จุดนี้ดูมีรากฐานที่มั่นคงกว่า และบริเวณพื้นด้านล่างที่ถูกสกัดเรียบก็กว้างกว่า ถ้าไม่ติดว่ารีบไปที่อื่นต่อผู้เขียนก็ว่าจะแอบงีบซักหน่อยอยู่นะครับ หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ฮ่า ๆ นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงจุดนี้ว่า ก่อนที่ท้าวบารสจะได้พบกับนางอุสา พระองค์ก็ได้นำม้าของพระองค์เองมาผูกไว้ ณ ที่แห่งนี้ เดินต่ออีกไม่ไกลนักก็ได้พับกบ เห้ย! พบกับ ถ้ำฤาษี นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงจุดนี้ว่า เป็นที่บำเพ็ญเพียรของฤาษีจันทา อาจารย์ของนางอุสานั่นเองครับ ถึงป่าจะร่มรื่นแต่แดดช่วงนี้ก็ค่อนข้างร้อนเอาเรื่องเลยนะครับ ขอแวะพักจิบน้ำเย็น ๆ สักครู่ละกัน ตลอดระยะทางเดินเที่ยวบนภูพระบาทจะมีที่พักระหว่างทางแบบนี้เป็นระยะนะครับ สามารถตุนเสบียงไว้รับประทานระหว่างทางได้ แต่อย่าลืมช่วยกันรักษาความสะอาดกันด้วยนะครับ เอาอะไรเข้าไปก็เอาออกมาด้วยน้า หายเหนื่อยแล้วไปกันต่อครับ นี่คือ ถ้ำวัว-ถ้ำคน และนี่แหละครับคือที่มาของพี่ ๆ ชุดแดงที่ยืนรายล้อมที่ป้อมขายบัตร มันคือภาพเขียนสีโบราณที่แสดงถึงมนุษย์ 7 คนเดินเรียงกันเป็นแถว ซึ่งมนุษย์ในภาพเขียนมีรูปร่างค่อนข้างแตกต่างจากมนุษย์ในยุคปัจจุบันมากเลยทีเดียวครับ นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงจุดนี้ว่า เป็นที่ที่นางสามัญญะวิเศษเขียนรูปกษัตริย์เมืองต่าง ๆ ให้นางอุสาดู เพื่อจะได้ทราบว่าใครจะได้เป็นคู่ของนาง เดินต่อมาอีกค่อนข้างไกลเลยนะครับกว่าจะมาถึง ผาเสด็จ ถึงจะไกลแต่ระหว่างทางก็มีความสวยงามทางธรรมชาติให้สัมผัสทำให้ลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียวครับ ในส่วนของผาเสด็จเป็นหน้าผาสูง และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดนึงเลยครับ อ้อ! ลืมบอกไป ที่ภูพระบาทจะมีป้ายชื่อและรายละเอียดของสถานที่ต่าง ๆ ให้เราได้ศึกษาด้วยนะครับ ยิ่งเดินไปเรื่อยยิ่งสัมผัสกับธรรมชาติได้มากขึ้น สัมผัสได้ทั้งทางกาย ตา จมูก หู และเดี๋ยว ๆ ทางลิ้นยังนะครับ น้องจักจั่นในภาพยังอยู่ดีครับ ฮ่า ๆ เดินมาค่อนข้างไกลเสบียงหมดครับ ดูเวลาก็ใกล้จะเที่ยง ผู้เขียนเลยตัดสินใจเดินตรงไปที่จุดไฮไลท์ครับ เพราะเป็นทางผ่านที่จะกลับไปร้านอาหารพอดี และนี่คือจุด ไฮไลท์ ของภูพระบาทเลยก็ว่าได้ครับ นี่คือ หอนางอุสา เป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร มีการต่อเดิมจากฝีมือของมนุษย์สมัยโบราณให้เป็นห้องขนาดเล็กไว้ที่ส่วนบนของเพิงหิน ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงจุดนี้ว่า เป็นที่พักของนางอุสาเมื่อครั้งมาศึกษาวิชากับฤาษีจันทา ซึ่งในเวลาต่อมาท้าวบารสก็ได้แอบขึ้นไปหานางอุสาและอยู่ด้วยกันบนหอสูงแห่งนี้ ณ ตอนนั้นหลังจากชมจุดนี้เสร็จผู้เขียนก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้วครับ และในปัจจุบันตอนนี้ผู้เขียนก็เริ่มหิวจริง ๆ แล้วด้วย คงจะได้ไปหาอะไรทานแล้วละครับ เอาไว้ส่วนที่เหลือจะนำมาเล่าต่อในตอนต่อไปนะครับ ภาพปกและภาพประกอบทั้งหมดถ่ายจากกล้อง Canon EOS 700D โดยผู้เขียน