ทุกการเดินทางล้วนมีเรื่องราว ทุกเรื่องราวล้วนอยู่ในความทรงจำ ชีวิตคนเรามันสั้นจริงไหมครับ พยายามเก็บความทรงจำดี ๆ ไว้ เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตกันดีกว่า หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ นั่งกินลมชมวิวสักพัก ก็ออกเดินทางกันอีกครั้งครับ ช่วงที่ผู้เขียนไปเที่ยวที่ภูพระบาทคือช่วงเดือนมีนาคม ป่าเลยอาจจะขาดสีสันสักหน่อย ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ จากจุดพักเดินมาราว ๆ 400 เมตร ก็เจอกับโขดหินขนาดใหญ่วางซ้อนกันอยู่ในลักษณะที่ดูเผิน ๆ แล้ว อาจจะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่จริง ๆ แล้วมันแข็งแรงมากครับ แล้วลักษณะดังกล่าวก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติด้วย มีใครพอจะจินตนาการได้บ้างว่าเพิงหินนี้มีรูปร่างคล้ายกับสิ่งใด ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก ... ชาวบ้านเรียกเพิงหินนี้ว่า เพิงหินนกกระทา ซึ่งมาจากรูปร่างของมันนั่นเอง ชาวบ้านในแถบนี้มองว่ามันมีลักษณะคล้ายกับนกกระทาครับ แล้วเพื่อน ๆ ละครับ คิดว่าเพิงหินนี้ควรตั้งชื่อว่าอะไร จากเพิงหินนกกระทา เดินต่อมาอีกราว ๆ 100 เมตร ก็จะเจอกับบ่อหินขนาดใหญ่และมีความลึกพอประมาณ บ่อหินนี้มีชื่อว่า บ่อน้ำนางอุสา นิทานอุสา-บารส เล่าถึงสถานที่แห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำที่นางอุสาใช้อาบน้ำ และเป็นที่ที่นางอุสาและท้าวบารสได้พบมากัน เดินตรงไปทางทิศเหนืออีกไม่ไกลก็พบกับ กู่นางอุสา เป็นก้อนหินทราย 2 ก้อนที่วางซ้อนกันอยู่ตรงกลางและมีใบเสมาหินปักล้อมรอบอยู่ 8 ทิศ นิทานอุสา-บารส กล่าวถึงที่แห่งนี้ว่า เป็นสถานที่ที่ใช้บรรจุกระดูกของนางอุสาและพี่เลี้ยงอีก 2 คน จากกู่นางอุสามาทางทิศตะวันออกราว ๆ 20 เมตร ก็คือ ถ้ำพระ เป็นก้อนหินที่ถูกสกัดออกเป็นห้องขนาดใหญ่ และมีการสลักรูปปฏิมากรรมทางศาสนาที่สวยงามเอาไว้ภายในห้องอีกด้วย ส่วนด้านนอกสันนิษฐานว่ามีใบเสมาหินอยู่ทั้งหมด 8 ทิศ เช่นเดียวกับกู่นางอุสา แต่ปัจจุบันพบเพียง 6 ทิศ ใกล้กันนั้น คือ ถ้ำช้าง โขดหินทรายขนาดใหญ่ที่ด้านในถูกสกัดออกให้เป็นเพิงใช้สำหรับนั่งบำเพ็ญเพียร บริเวณผนังมีภาพเขียนสีรูปช้างสวยงาม คาดว่าเป็นฝีมือของช่างสมัยประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมล้านช้างครับ บริเวณนี้สถานที่ต่าง ๆ ค่อนข้างจะอยู่ติดกันเลยนะครับ ใครที่มีเวลาจำกัดก็ตรงมาที่จุดนี้ก็สามารถเข้าชมได้หลายสถานที่เลยครับ เพิงหินที่เห็นในภาพก็คือ หีบศพพ่อตา เป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยการสกัดหินที่พื้นและผนัง ทำให้เป็นห้องโล่งทั้ง 2 ข้าง นิทานอุสา-บารส เล่าถึงที่แห่งนี้ว่า เป็นที่ฝังศพท้าวกงพานที่ถูกตัดเศียรหลังแพ้พนันในการแข่งขันสร้างวัดกับท้าวบารส หีบศพนางอุสา เพิงหินที่เกิดจากการค้ำยันของเสาหิน 2 ข้าง ทำให้เกิดพื้นที่ว่างตรงกลางและมีร่องรอยการสกัดหินเป็นห้องโล่ง ใช้สำหรับบำเพ็ญเพียร นิทานอุสา-บารส เล่าถึงที่แห่งนี้ว่า เป็นที่ฝังศพนางอุสาภายหลังจากพระนางสิ้นพระชนม์ด้วยตรอมใจเพราะไม่สมหวังในความรัก ใกล้กันนั้นคือ หีบศพท้าวบารส คู่รักของนางอุสานั่นเองครับ หีบศพท้าวบารสนี้มีลักษณะคล้ายกับหีบศพนางอุสาเล็กน้อยคือเป็นเพิงหินที่มีเสาค้ำยันอยู่ 2 ข้างทำให้เกิดช่องว่างตรงกลาง แต่ช่องว่างนี้มีขนาดเล็กกว่าหีบศพนางอุสา นิทานอุสา-บารส เล่าเกี่ยวกับสถานที่นี้ว่า เป็นที่ฝังศพของท้าวบารสภายหลังที่พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยตรอมใจตามนางอุสาที่ได้สิ้นใจไปก่อนหน้านี้ วัดพ่อตา เป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากหินสองก้อนวางทับซ้อนกัน โดยหินก้อนบนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหินก้อนล่างมากจึงทำให้ดูคล้ายชะง่อนหิน ด้านล่างเป็นห้องโถงขนาดใหญ่มีร่องรอยภาพเขียนสีและมีชิ้นส่วนของพระพุทธรูปหินทรายที่ไม่สมบูรณ์วางอยู่เป็นจำนวนมาก นิทานอุสา-บารส เล่าถึงสถานที่แห่งนี้ว่า เป็นวัดที่ท้าวกงพานได้สร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับวัดที่ท้าวบารสได้สร้างขึ้นเช่นกัน แต่ท้าวกงพานสร้างไม่เสร็จ เนื่องจากแพ้ต่ออุบายของท้าวบารส และสถานที่สุดท้ายที่ผู้เขียนแวะเข้าชมก็คือ วัดลูกเขย ที่แห่งนี้เกิดจากการดัดแปลงเพิงหินขนาดใหญ่โดยมีการนำเอาหินทรายที่ถูกตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมมาก่อเรียงกันเป็นผนัง ทำให้เกิดเป็นห้องขนาดใหญ่ ภายในมีพระพุทธรูปหินสลัก 5 องค์ และมีภาพเขียนที่งดงามแต่น่าเสียดายที่ภาพเขียนนั้นค่อนข้างจะเลือนลางไปมากแล้ว หลังจากที่ได้เดินชมเกือบครบทุกจุด ต้องใช้คำว่าเกือบนะครับ เพราะยังมีบางจุดที่ผู้เขียนนั้นยังไม่ได้ไป แต่ก่อนจะเดินทางกลับ ผู้เขียนได้แวะเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ของทางอุทยานฯ ด้วยครับ ซึ่งก็จัดแสดงความรู้เกี่ยวกับอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนี้ได้อย่างครบถ้วน และมีพี่ ๆ เจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้แบบเป็นกันเองด้วยครับ ถือว่าเรียนปฏิบัติแล้วมาตบท้ายด้วยทฤษฎี โดยรวมแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่าประทับใจครับ ได้ทั้งความสุข สงบ และความรู้ ภาพปกและภาพประกอบทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง Canon EOS 700D โดยผู้เขียน