ฮัลโหลค่ะนักอ่านผู้น่ารักจริง ๆ ทริปนี้มันควรจะเป็นการใส่ชุดสวย เดินเล่นต๊ะตอนยอน ไหว้พระชิล ๆ อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมซึ่งฝนตกแทบจะทุกวัน เเต่ใจมันโหยหาป่าเขาลำเนาไพรเเล้ว ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนนึงเราได้มีแผนที่จะไปเที่ยวดอยผ้าขาวน้อยเเต่เพราะน้องฝนบวกเส้นทางขึ้นสู่หน้าผาถึงจะมีระยะแค่ไม่กี่กิโลเมตรแต่ค่อนข้างโหด เลยขอเลื่อนไปก่อน เหมือนฟ้าฝนจะเปิดทางให้ ช่วงนี้ฝนไม่ตกมาหลายวัน เราน่าจะลุยไหวสิหน่า ว่าเเล้วก็คว้าชุดลุย ๆ พร้อมเสื้อกันฝน เเล้วออกเดินทางตามสไตล์สายเเว้น การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังดอยผ้าขาวน้อยมีระยะประมาณ 100 กิโลเมตร เราใช้เส้นทางหมายเลข 108 จนถึงอำเภอจอมทอง เลยวัดพระธาตุศรีจอมทองไปนิดเดียว สังเกตุแยกไฟแดงจะอยู่หน้าอำเภอให้เลี้ยวขวาตรงโรงเรียนศรีจอมทอง ขับตามถนนไปเรื่อย ๆ ผ่านน้ำตกแม่ เตี๊ยะ แล้วเลี้ยวขวาวิ่งไปทางโรงเรียนแม่เตี๊ยะ ตามทางไปเรื่อย ๆ จะเจอป้ายเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง เมื่อตามทางไปเรื่อย ๆ สักพักก็จะพบกับโครงการฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ จะเห็นทางเข้าตามนี้ เหลืออีกแค่ 500 เมตร จะถึงทางแยกขึ้นดอยแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดก็มาถึงนั่นก็คือฝนตกหนักมากจนไปต่อไม่ไหว สายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารของโครงการเราจึงรีบเข้าไปพักที่นั่นก่อน กะว่าจะหาอะไรทานรองท้องเพื่อฆ่าเวลาแต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวน้อย ครัวอาหารจึงปิด แต่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเเละเครื่องดื่มขาย เมนูแนะนำในช่วงนี้ก็คือน้ำผลไม้ปั่น โดยเฉพาะมัลเบอรี่และอะโวคาโดปั่น น้องพนักงานจะเดินไปเก็บสด ๆ จากต้นข้าง ๆ ร้านอาหารของโครงการ ฝนตกอยู่ประมาณ 40 นาทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราต้องลุยต่อแล้วเพราะว่าหากช้าเกินไปขาลงจากดอยอาจจะมืดค่ำซะก่อน ก่อนจะถึงทางแยกขึ้นดอยจะผ่านจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ วิวสวยดี ฝนเริ่มซาลงนิดนึง แวะถ่ายรูปทันใด เเล้วก็เริ่มเเว้นกันต่อเมื่อถึงสามแยก ให้เลี้ยวซ้าย ตรงขึ้นไปจะมีป้าย “กลุ่มอนุรักษ์พื้นที่สูง อ.จอมทอง” ลุยกันอีกแค่ 5 กิโลเมตรก็จะถึงยอดดอยแล้ว แต่คุณพระขอเอามือทาบอก แค่เห็นจากปากทางก็เริ่มจะขยาดกับเส้นทางแล้วแต่เรามาเพื่อลุย เอ้าลุยก็ลุยโคลนหนามาก ถนนลื่นมาก เข้าไปประมาณ 200 เมตร เจอรถกระบะติดหล่มไม่สามารถไปได้ แต่โชคดีที่มีชาวบ้านผ่านมาเจอและกำลังตามรถลากมาช่วยรถคันนั้น เราจึงขี่มอเตอร์ไซค์ต่อไป ไปต่ออีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็เจอกับบ่อโคลน หลุมที่เกิดจากล้อรถยนต์ติดหล่มลึกมาก เราก็พยายามที่จะเเว้นต่อไปเเต่ล้อหมุนฟรีเเบบไม่ขยับ เคลื่อนตัวไม่ได้เลย มอเตอร์ไซค์เกือบล้มหลายรอบมาก เข็นก็ไม่ไหวเพราะโคลน ทำอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ แต่มาถึงจุดนี้กลับตัวก็คงไม่ทันเพราะใจเรามันไปรออยู่บนยอดดอยซะแล้วนี่นา จึงตัดสินใจสละรถไว้ข้างทาง เอาหน่า มันไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกไปกลับก็แค่ 10 กิโลเมตรเอ๊ง เดินเรื่อย ๆ รวมเก็บภาพบรรยากาศ น่าจะสักชั่วโมงครึ่งเราก็คงจะกลับมาถึงจุดที่จอดรถทิ้งไว้แล้วแหละ เส้นทางก็ไม่ถึงกับบุกป่าฝ่าดงมากมายถนนก็มีชาวบ้านใช้เดินทางสัญจรไปมา ลุยกันเลย สู้ ๆ ระหว่างทางอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวเเต่โชคดีที่มีร่มไม้ตลอด 2 ข้างทาง มีกล้วยไม้ป่า มีดอกไม้เเละผลไม้ป่าให้ได้ดูได้ชม เเต่สัญญาณมือถือของเราไม่มีเลย เดินได้ช้ากว่าที่คิด เเถมเราลื่นล้มลงไปในหลุมโคลนด้วยทำให้มีเรื่องขำ ๆ ในการเดินทางเเก้สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือไม่เนื่องจากไม่เจอชาวบ้านระหว่างทางให้ถามไถ่เเถมไม่มีป้ายบอกทางใด ๆ เลย ในการเดินทางจะเจอทางเเยกบ่อยมากมีเส้นทางที่ชาวบ้านเดินไปไร่ เอาวัวไปปล่อยเพื่อให้หาหญ้ากิน เราใช้การสุ่มเอาล้วน ๆ ว่าจะไปทางไหน ใจนึงก็เริ่มกลัวหลงทางเช่นกันกะว่าจะเดินต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงถ้ายังไม่เจอหน้าผาจะกลับเเล้ว ท้ายที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายจนได้ เราเจอกองขี้เถ้าเก่าที่น่าจะเป็นของนักเดินทางกลุ่มก่อนได้มากางเต็นท์นอนที่นี่ เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอกับจุดที่เป็นหน้าผา ภาพถ่ายการเดินทาง โดย enjoy_H เมื่อเราไปถึงก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ มี 2 น้าหลานชาวเขามาด้วยกัน น้าเป็นชาวบ้านละเเวกนั้นพาหลานที่มาจากต่างอำเภอมาถ่ายรูปวิวที่นี่ เค้าบอกว่าหลังฝนหยุดสัก 1 ชั่วโมงทางเริ่มเเห้งจนเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นมาได้เเล้ว เราจึงถามถึงจุดถ่ายรูปที่เป็นชะง่อนผา น้าหลานได้นำทางเราไป ทางลงอยู่ไม่ไกลนักเป็นไหล่เขาที่ค่อนข้างชัน มีหญ้ารกต้องโรยตัวกับเชือกลงไป น่าจะเป็นเชือกของคนที่เคยมาที่นี่ใจดียกให้คนที่มาเที่ยวได้ใช้ต่อ จุดนี้น่าหวาดเสียวพอสมควรเพื่อนร่วมทางของเรากลัวความสูงขอรอข้างบน เราจึงลงไปกับน้าหลานชาวเขา ทั้งคู่น่ารักมาก คอยดู คอยช่วยจับช่วยดูทางให้ตอนโรยตัว เเถมด้วยการถ่ายรูปให้เราด้วย ขาเรานี่สั่น พับ พับเลย จับหินเเถวนั้นไว้เเน่นมาก หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินทางกลับเเล้วเพราะเดี๋ยวจะมืดซะก่อน เพราะในป่าจะมืดเร็วกว่าด้านนอก เเถมยุงก็เยอะซะด้วย สรุปใช้เวลาเดินไปทั้งหมด 3 ชั่วโมงครึ่ง หยุดพักเเค่ขาขึ้น 1 ครั้ง รีบจ้ำอ้าว เพื่อให้ถึงตีนดอยก่อนจะมืด เหนื่อยมาก เเต่คุ้มค่าที่สุด เป็นทริปนึงที่เราประทับใจมากเลย หากเพื่อน ๆ คนไหนจะมาเที่ยวที่นี่ เราขอเเนะนำเลยนะคะสามารถเที่ยววันเดียวได้ หรือหากอยากมากางเต็นท์ก็สามารถทำได้เเต่ต้องเตรียมอาหารเละอุปกรณ์มาให้พร้อม ด้านบนไม่มีห้องน้ำเเละสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ มาเที่ยวเเล้วก็อย่าทิ้งขยะไว้นะคะ ให้เก็บไปทิ้งข้างนอก ฟืนไฟจุดเเล้วก็ต้องช่วยกันดับให้สนิท ควรพกน้ำดื่ม พกสเปรย์กันยุง พกเชือกสำหรับโรยตัวเผื่อเชือกเส้นเก่าผุเเล้ว เส้นทางไม่โหดสามารถเดิน, ปั่นจักรยาน หรือขี่มอเตอร์ไซค์ได้ รถ 4 ล้อที่มีเเรงเยอะหน่อยสามารถขึ้นได้ถ้าไม่ใช่หน้าฝนเเต่อาจต้องเดินเท้าต่อสักนิด เเละที่สำคัญต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากในการลงไปยังจุดถ่ายรูปชะง่อนผาเพราะหากพลาดเเค่นิดเดียวมันคือความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเนอะ