"บ่ไหวแล้วเจ้า มันหยังมาจะอี้ล้ำเหลือ" คำพูดหนึ่งของชาวบ้านเชิงดอยสุเทพ ติดกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ต้องทนใช้ชีวิตกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาไวรัส COVID-19 ที่ระบาดอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศ จนเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก ที่ทาง WHO ได้ ประกาศให้ไวรัสโคโรน่า(COVID-19) เป็นภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขทั่วโลก อีกทั้งการถาโถมของฝุ่นพิษ PM2.5 วิกฤตมลพิษทางอากาศที่ภาคเหนือนั้นดูจะเป็นปัญหาเรื้อรังและท้าทายแผนการจัดการที่เคยมีอยู่ของภาครัฐ และขณะนี้ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษก็กำลังเพิ่มขึ้น แต่ละปีก็ดูแล้วมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้น แล้วคนภาคเหนือจะต้องเสี่ยงชีวิตกับ PM2.5 ทุกต้นปีอย่างนี้ไปอีกนานเพียงใด เราไม่สามารถโทษใครได้เลย นอกจากการกระทำของเราเอง ความมักง่าย ไม่สำนึกในจิตสาธารณะของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม พอเกิดปัญหาก็ไม่สามารถยับยั้งได้ ความอัดอั้นตันใจของคนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่ทางผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า เพราะเหตุใดถึงเป็นปัญหาแค่คนเชียงใหม่ มันเป็นปัญหาของทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยไม่ใช่หรอ? แต่ในบทความนี้ผู้เขียนต้องการจะเล่าให้เห็นถึงความทุกข์ระทมของการตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายทั้งฝุ่นพิษ และโรคระบาด COVID-19 การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ที่นี่ จึงสาหัสกว่าพื้นที่ไหนๆ อย่างในวันนี้วันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่ผู้เขียนได้เริ่มเขียน ข้อมูลจาก Air Visual ค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 459ug/m3 ซึ่งเกินมาตรฐานถึง 400เท่า โดยค่ามาครฐานต้องไม่เกิน 50 ug/m3 และยอดการแพร่กระจายของไวรัสไปสู่คนเพิ่มขึ้นในวันเดียว 188คน ยอดสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 599 ราย จากการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกัน และที่ส่งผลให้เกิดการระบาดวงกว้างคือสนามมวย บ่อนพนันไก่ อีกทั้งกลุ่มคนที่ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ได้เดินทางกลับไทยและส่วนใหญ่เป็นคนเหนือ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และไม่กักตัวเอง 14วัน จนก่อนให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ไทยเป็นประเทศท้ายๆของโลก ที่มียอดสะสมของผู้ติดเชื้อ COVID-19 น้อย แต่ปัจจุบันวันที่ 22 มีนาคม 2563 จำนวนผู้ป่วยพุ่งขึ้นสูง แทบจะไม่สามารถควบคุมได้ รัฐบาลเองก็มีความพยายามในการสกัดกั้น เพื่อไม่ให้เกิดการระบาด แต่ก็ยังไม่สำเร็จ มาตรการตอนนี้ก็เหมือนจะไร้วี่แววของการยับยั้ง มีการสั่งปิดห้างร้าน ตลาดนัด สถานบันเทิงต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายของเชื้อ ในทางกลับกัน อาชีพพ่อค้าแม่ค้า ก็เหมือนจะดับสลายไปในพริบตา เพราะไม่มีสถานที่ทำมาหากิน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดของจริง ไม่ใช่เพียงแค่คำเปรียบเปรยอีกต่อไป กาดมาลิน พลาซ่า ที่ทุกเย็นต้องเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว นักศึกษา สภาพปัจจุบันคือโล่ง ไม่มีร้านใดเปิด เมื่อเหตุการณ์มันเกิด คนในพื้นที่ เขารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จากคำบอกเล่าของป้าศรีพนักงานร้านกาแฟ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เล่าปัญหาว่า "ตั้งแต่ป้าเกิดมา ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ทั้งฝุ่นทั้งโรค มันน่ากลัวไปหมด รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตของตนเอง หน้ากากอนามัยก็หาซื้อไม่ได้ กลัวติด COVID ไหม? ก็ต้องกลัวแน่นอน แต่ทำไงได้ ไม่ทำงานก็ไม่มีตังค์ใช้จ่าย ทุกวันนี้นะ ไม่อยากดูข่าวเลย เห็นแล้วสลดใจ คนฆ่าตัวตายกันเยอะมาก มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตป้าเลยนะ อย่างอากาศเอง ก็พึ่งจะเห็นอากาศแบบนี้ใน2-3ปีที่ผ่านมา ฝุ่นมันเต็มไปหมด ป้าว่าเขานะจะเผากันแหละ ถามว่าเมื่อก่อนเขาเผากันไหม ก็เผานะ แต่ทำไมหลังๆมา เราเริ่มเห็นการเผาเพื่อวัตถุประสงค์ที่เกินกว่าเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การเผาเศษวัชพืช เพื่อเตรียมเพาะปลูกช่วงฤดูฝน ปัจจัยนี้มักจะเป็นข้ออ้างให้เกษตรกรมีการเผามากขึ้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่หาความสมเหตุสมผลมาประกอบไม่ได้ คือการเผาเพื่อให้ของป่าผุดขึ้นมา เมื่อหน้าฝนเขาจะได้มีของป่ามาขาย ซึ่งป้าคิดว่ามันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมากๆ " จากคำบอกเล่าของป้าศรี ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ เขาเห็นปัญหาจริงๆของคนในพื้นที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน เป็นต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 เราจะไม่เคยเห็นถนนแยกรินคำเวลา 17.00 ที่รถจะโล่งได้ขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ COVID-19 ภาพนี้จะไม่ได้เห็นกัน การมาของปัญหา ทั้ง COVID-19 และปัญหาฝุ่น PM2.5 กลายเป็นเรื่องใหม่ที่มีผลกระทบต่อคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก บางคนจากที่รับจ้างหาเช้า กินค่ำ รายได้ไม่แน่นอน และไม่มีทุนสำรองในวิกฤตแบบนี้ เมื่อรัฐประกาศให้ปิดสถานที่ที่คนรวมตัวกัน ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านคาราโอเกะ หรือร้านเหล้า ผับบาร์ คนเหล่านี้รายได้เท่ากับ 0 ภาพที่เราไม่เคยเห็นที่ไหน เราจะได้เห็น ชาวบ้านไม่มีอาชีพ นำไปสู่การขาดรายได้จุนเจือตัวเองและครอบครัว ร้านอาหารได้ออกมาช่วยคนจนที่ไม่อาหาร เพราะเขาไม่มีเงิน ไม่มีอาชีพ ตกงาน เนื่องจากมาตรการของภาครัฐที่สั่งปิดช่องทางการหารายได้ และไม่มีการชดเชยรายได้ แต่ผู้เขียนยังไม่ได้สามารถสรุปได้ว่า คนในพื้นที่เขาคิดแบบนั้นกันทั้งหมด ผู้เขียนจึงได้สอบถามไปยังพ่อแม่ของผู้เขียนที่เป็นเกษตรกร ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบหมุนเวียนเป็นหลัก โดยพืชเศรษฐกิจที่ทำการเพาะปลูก อาทิเช่น กาแฟ ข้าว กระเทียม พืชผักต่าง ๆ สามารถจับใจความได้ว่า การดำรงชีวิตแบบเกษตรกรในชนบท การเผาวัชพืชและเศษใบไม้แห้งเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตรเป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลจากการเผาวัชพืชจากไร่ที่มาจากการทำเกษตรแบบพืชหมุนเวียนมีน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับการเผาวัสดุเหลือใช้ของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่นข้าวโพด มาตรการของหน่วยงานภาครัฐที่ขัดแย้งกับวิถีชาวบ้าน "คำสั่งทางราชการ ไม่ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่จริง เวลามีการกำหนดก็ไม่มีตัวแทนประชาชน หรือกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไป เอาคำสั่งเบื้องบนเป็นใหญ่ ฟังชาวบ้านบ้างได้ไหม นโยบายถูกกดดันมา ไม่ให้มีหมอกควัน ห้ามเผา สุดท้ายปัญหาก็ไปลงที่ประชาชน อย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องควบคุมไม่ให้เกิดไฟป่า พื้นที่ดูแลของใครเกิดไฟป่ามีมาตรการลงโทษ ผู้ใหญ่เขาจะลาออกกันหมดแล้ว อย่างพื้นที่ไหนมีความขัดแย้งอยู่ มีคนกลั่นแกล้งเผาผู้ใหญ่ก็จบ" คำพูดของ ประเสริฐ ประดิษฐ์ ประธานสภาพลเมือง และประธานสภาชาติพันธุ์ จ.แม่ฮ่องสอน ปัญหามา แต่แนวทางแก้ไข กลับหาย ประชาชนเหนื่อยที่จะต้องพึ่งพาภาครัฐ และหลายคนต้องช่วยเหลือตนเองจากการหาอุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น หน้ากากกันฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ เพื่อให้ตัวเองและคนในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตให้ปลอดภัยในสถานการณแบบนี้ แต่มองอีกมุม ประชาชนที่ไม่มีอันจะกิน ก็ต้องทนต่อไปเท่าที่ตัวเองจะรับไหว เมื่อสินค้ามีความต้องการ ราคาสินค้าก็ย่อมแพงขึ้น หน้ากากอนามัยราคาหลายบาทและหาซื้อไม่ได้ตามร้านทั่วไป อีกทั้งหน้ากากธรรมดาสามารถป้องกัน COVID-19 ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ ต้องเป็นหน้ากากเฉพาะ N่95 เท่านั้นจึงจะใช้ได้ คำถามต่อมา แล้วเขาจะไปเอาของป้องกันตัวเองมาจากไหน สิ่งที่ได้คือ ไม่มีเลย แม้พวกเขาจะพยายามเย็บผ้าเพื่อใช้ไปก่อนแทนหน้ากาก ก็ไม่ได้ทำให้เขาปลอดภัย ที่น่าเป็นห่วง คือกลุ่มประชาชนที่มีเด็กทารก และทารกน้อยๆ ต้องสูดอากาศร้ายเข้าไปในร่างกาย เพื่อดำรงชีพให้ตัวเองอยู่รอดและเติบโต หารู้ไม่? ในวันที่เขายังไม่รับรู้ใดๆ เขาก็โดนสภาพแวดล้อมรอบตัวทำร้ายเขาเสียแล้ว น่าเป็นห่วงที่ว่า แม้สิทธิในการหายใจเขายังไม่มีเลย ผนวกกับไวรัส COVID-19 ที่จะมาเยือนพวกเขาเมื่อไหร่ เขายังไม่รู้ชะตาตัวเอง แล้วพวกเขาจะต้องทนทุกข์ไปอีกนานแค่ไหน เป็นเรื่องให้ชวนถามต่อไป เรื่องและภาพโดย หลวงนี