หากกล่าวถึง “ดอยอินทนนท์” ชื่อนี้คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อเลย เพราะที่นี่คือยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย และด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ก่อให้เกิดสถานที่ที่สวยงามขึ้นมากมาย จนได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ ชวนให้ใครหลายคนอยากจะเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศบนนั้นดูสักครั้ง ซึ่งเราเองก็เช่นกัน วันนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวบนดอยอินทนนท์แบบ One Day Trip มาดูกันว่าที่นี่มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง และใน 1 วันของเราบนภูเขาแห่งนี้จะเป็นอย่างไร ไปกันเลยดีกว่า การเดินทางไปยังดอยอินทนนท์ของเราในครั้งนี้ เราขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นไปนะคะ โดยเราเช่ารถมาจากในตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นก็มาพักในอำเภอจอมทอง 1 คืน แล้วตอนเช้าเราก็ขี่รถมุ่งหน้าขึ้นดอยแต่เช้าเลย แต่ก็ไม่เช้ามากเท่าไหร่ ออกจากที่พักประมาณ 6 โมงกว่า ๆ เพราะว่าวันที่เราไปเป็นช่วงใกล้สิ้นปี ซึ่งอากาศหนาวมาก ๆ เราจึงไม่สามารถฝ่าความหนาวเหน็บไปตั้งแต่เช้ามืดได้ ส่วนเส้นทางบนดอยก็อย่างที่ทุกคนพอจะทราบนะคะว่าสูงและชันมาก แต่จะไม่ค่อยคดเคี้ยว มีทางโค้งเป็นระยะ ถนนเส้นหลักจะกว้างและลาดยางตลอดเส้นทาง จะว่าสะดวกก็สะดวกนะคะ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากเหมือนกัน เพราะเป็นทางขึ้นเขา จากอำเภอจอมทองไปยังยอดดอยค่อนข้างไกล เกือบ 50 กิโลเมตรเลยทีเดียว จุดหมายแรกที่เรามุ่งหน้าไปก็คือ กิ่วแม่ปาน ซึ่งจะอยู่ก่อนถึงยอดดอยประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งที่เราเลือกมาที่นี่เป็นที่แรก ก็เพราะว่าอยากจะมาชมทะเลหมอกที่จุดชมวิวกิ่วแม่ปานนั่นเอง เพราะว่าขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามเป็นอย่างมาก แต่ก่อนจะไปถึงจุดชมวิวได้ เราต้องเดินขึ้นเขาผ่านป่าดิบชื้นไปก่อน แล้วก็จะไปถึงจุดชมวิว ซึ่งอยู่ในบริเวณทุ่งหญ้ากว้างบนเนินเขา กว่าเราจะขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากวันที่เราไปคนเยอะมาก ต้องต่อคิวรอไกด์นำทางก่อน จึงเข้าไปได้ ประกอบกับเวลาที่เราเดินทางไปถึงนั้นก็เริ่มสายแล้ว เราจึงไม่ทันเห็นทะเลหมอกเลย เซ็งนิดหน่อย แต่วิวที่ได้เห็นตอนนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใดนะคะ เรายังได้เห็นทิวเขาอันสลับซับซ้อน กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่ตรงหน้า ถือว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน เมื่อลงมาจากกิ่วแม่ปานแล้ว เราก็มุ่งหน้าขึ้นไปยัง จุดสูงสุดแดนสยาม หรือยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่ถัดจากกิ่วแม่ปานขึ้นไปไม่ไกล เพื่อจะไปถ่ายรูปกับป้ายนี้ อิอิ แน่นอนว่าทุกคนที่ได้ขึ้นมาบนนี้ ต้องมาถ่ายภาพนี้กลับไปด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเราเคยขึ้นมาอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของประเทศไทยแล้วนะ โดยยอดดอยอินทนนท์มีความสูงกว่า 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ซึ่งในช่วงฤดูหนาว เราก็จะได้เห็นข่าวกันบ่อย ๆ ว่า อุณหภูมิของที่นี่จะติดลบ จนทำให้เกิดน้ำค้างแข็งนั่นเอง ซึ่งวันที่เราไปนั้น ตอนช่วงเช้ามืดก็ลดลงไปถึงลบ 2 องศาเซลเซียสนะคะ แต่ตอนที่เราไปถึงเพิ่มขึ้นมาประมาณ 10 กว่าองศาเซลเซียสแล้ว และตอนกลางวันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าแดดแรง 555+ จากนั้นเราก็เดินมาบริเวณใกล้ ๆ กับป้ายดังกล่าว ซึ่งจะมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา อยู่ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติของป่าดิบชื้นอีกเส้นทางหนึ่งบนดอยอินทนนท์ โดยไฮไลต์ก็คือ จะมีสะพานไม้ให้เดินตลอดเส้นทาง เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ลักษณะของเส้นทางจะเป็นวงรอบ เราจะได้เดินอยู่ท่ามกลางต้นไม้ และพืชพรรณนานาชนิดอันเขียวชอุ่ม มีมอสเกาะอยู่เต็มไปหมด ทั้งตามต้นไม้ และตามสะพานที่เราเดิน อีกทั้งยังมีแสงรำไร ส่องลอดมาตามช่องว่างของต้นไม้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่ในฉากของนิยายบางเรื่อง บรรยากาศสงบ ร่มรื่น เย็นสบาย เป็นอะไรที่ดีต่อใจเรามาก ๆ แล้วก็ขอบอกเลยว่า จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพมุมไหนก็สวยไปหมด แทบจะไม่ต้องแต่งสีอะไรเลยล่ะค่ะ เพราะมันสวยงามและลงตัวมากอยู่แล้ว เราใช้เวลากับ 3 จุดนี้ไปประมาณ 5 ชั่วโมงด้วยกัน ตั้งแต่ 8 โมงกว่า ๆ จนเกือบถึงบ่ายสองโมง ซึ่งหลังจากที่เราออกมาจากเส้นทางคึกษาธรรมชาติอ่างกาแล้ว เราก็ขับรถกลับลงมาจากบริเวณยอดดอย ระยะทาง 5 กิโลเมตร เพื่อไปที่พระมหาธาตุเจดีย์ 2 องค์ อันเป็นที่เคารพของที่นี่ ซึ่งเป็นพระมหาธาตุเจดีย์คู่พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 และพระราชินี เรารู้สึกว่าเป็นที่ที่ควรจะไปเป็นอย่างยิ่ง หากมีโอกาสได้เดินทางขึ้นไปแล้ว เพื่อที่จะชมความงดงามขององค์เจดีย์ที่ตั้งสง่าอยู่บนเขา และเพื่อเสริมสิริมงคลต่อตัวเราเองด้วย เจดีย์องค์แรก ได้แก่ พระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์สีน้ำตาล รูปทรง 8 เหลี่ยม ความสูง 60 เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร และเจดีย์องค์ที่สอง ซึ่งสร้างอยู่เคียงคู่กับองค์แรก ได้แก่ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2535 เพื่อถวายสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบเช่นกัน ลักษณะเป็นองค์เจดีย์สีม่วงอมชมพู รูปทรง 12 เหลี่ยม ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางรำพึง และที่สำคัญพระมหาธาตุเจดีย์ทั้งสององค์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ส่วนยอดด้วย บริเวณโดยรอบของพระมหาธาตุเจดีย์ ยังมีการปลูกและตกแต่งสวนเอาไว้อย่างสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพืชและดอกไม้ที่เหมาะกับการปลูกในอากาศหนาว หาชมไม่ได้ง่าย ๆ เลย สามารถไปเดินชมกันได้อย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งยังชมทิวทัศน์ของภูเขาน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นได้อีกด้วย เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงได้ออกเดินทางต่อ เพื่อไปตามหาสิ่งที่เราอยากจะมาชมอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือที่เรียกกันว่าซากุระเมืองไทยนั่นเอง โดยจุดหมายของเราอยู่ที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 28 กิโลเมตรเลยทีเดียว ตอนนั้นเราก็มีฉุกคิดอยู่เหมือนกันว่าจะไปดีไหม เพราะมันใกล้ค่ำแล้ว กว่าจะกลับไปถึงที่พักอีก แต่ในใจก็คิดว่าเมื่อตั้งใจไว้แล้วก็ต้องไปเห็นให้ได้ เราจึงตัดสินใจไปต่อทันที เราใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว และเป็นถนนเส้นรองด้วย ไม่ใช่เส้นทางหลัก ทางบางช่วงจึงค่อนข้างแคบและไม่สะดวกเท่ากับถนนเส้นหลัก ต้องระวังมากยิ่งขึ้น เวลาก็เริ่มค่ำลงเรื่อย ๆ จนเราเริ่มหวั่น ๆ ว่าจะไปถึงไหม แต่เราก็ยังคงไปต่อเรื่อย ๆ และแล้วเราก็มาเจอกับที่นี่ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี หลังจากเดินทางมาได้ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งข้างทางมีต้นนางพญาเสือโคร่งที่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น เรารีบจอดรถและลงไปชื่นชมความงาม พร้อมกับเก็บภาพทันที เนื่องจากตอนนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. แล้ว แสงเริ่มจะหมด และอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นทุกที แตกต่างจากตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง เราจึงรีบเก็บภาพและขับรถกลับโดยเร็ว ส่วนที่ที่เราตั้งใจว่าจะไปในตอนแรกนั้น สุดท้ายก็ไปไม่ถึง แต่อย่างน้อยเราก็ยังโชคดีที่ได้มาเจอที่นี่ ซึ่งก็ถือว่าได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งสมใจ ทำให้มีความสุขมาก ๆ ไม่แพ้กัน จริง ๆ ด้านในยังมีอ่างเก็บน้ำ และก็ต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่รอบ ๆ อีกด้วยนะ แต่ด้วยความที่เวลาล่วงเลยไปมาก แบบจวนจะมืดแล้ว เราจึงไม่ได้เข้าไปถ่ายภาพเลย แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เสียใจ เพราะเพียงเท่านี้มันก็คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับ 1 วันบนดอยอินทนนท์ของเรา หลังจากนั้นเราก็ขับรถลงจากเขา แบบรีบ ๆ แต่ก็ยังต้องระวัง เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด สรุปแล้วเราก็กลับถึงที่พักที่อำเภอจอมทองประมาณ 2 ทุ่ม แหะ ๆ เหนื่อยมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด แต่ว่ามีความสุขมากกว่า เพราะทุกสิ่งที่ได้เจอในวันนี้ ทำให้เราประทับใจกับการเดินทางมาที่นี่เป็นอย่างมาก และเราก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะต้องกลับไปอีกให้ได้ เพราะบนดอยอินทนนท์ยังมีอีกหลายที่ที่เรายังไม่ได้ไป และก็อยากจะไป ถ้านับจริง ๆ แล้วก็เป็นสิบ ๆ ที่เลยล่ะ ที่สำคัญคือ เราอยากจะไปสัมผัสบรรยากาศในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน อยากรู้ว่าความรู้สึกจะต่างกันอย่างไรบ้าง แต่ทุก ๆ ครั้งก็คงจะยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันแน่นอน นั่นก็คือ ความสุข เพราะเราหลงรักขุนเขาแห่งนี้ไปแล้ว (ภาพประกอบทั้งหมดโดย : ผู้เขียน)