The Ballad of The Sad Cafe คือหนังสือนวนิยายขนาดสั้นคล้ายบทเพลงแห่งความโศกศัลย์ที่ทำให้หัวใจไหวสั่นได้อย่างล้ำลึกผิดธรรมดา และยังเป็นท่วงทำนองของหลายชีวิตที่เชื่อมโยงกันด้วยความโหยหา ความเปลี่ยวเหงา และความรักที่ต้องการแบ่งปันและเข้าใจด้วยการเล่าแสดงรายละเอียดเนิบช้าของหนังสือ อาจทำให้นวนิยายเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องราวความรักโดยปกติสามัญ หากแต่วิเคราะห์อย่างจริงจังแล้ว เจ้าหนังสือเล่มนี้ออกจะสะท้อนความแปลกประหลาดของมันได้สมชื่อเรื่องทีเดียว ตัวละครสะท้อนสถานการณ์บ้านเมืองได้ดี เช่นฉากที่การจับกลุ่มของคนงานในเมืองแถวโรงงาน คนงานถูกกำหนดให้ใช้เวลาชีวิตแบบเดียวกัน มีชีวิตคล้ายกัน แสดงถึงช่วงเวลาที่เป็นยุคเศรษฐกิจตกต่ำ เกษตรกรละทิ้งไร่นาอพยพเข้าสู่แรงงานภาคอุตสาหกรรม การเกิดขึ้นของคาเฟ่เล็ก ๆ จึงเป็นเสมือนชีวิตที่คนงานโหยหา เชื่อมโยงพวกเขาให้เข้าถึงคุณค่าของชีวิต กดเก็บความรู้สึกด้อยค่าอันขมขื่นแม้สักชั่วโมงสองชั่วโมงยามอยู่ในคาเฟ่ก็ยังดี หากแม้วันหนึ่งที่คาเฟ่มลายหายไป สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือเพื่อความเพลิดเพลินในหัวใจคงเป็นเสียงเพลงจากนักโทษตีตรวนบนถนนฟอร์ค ฟอลส์กระนั้นความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาไม่ได้หยุดที่คนงานในเมือง มันยังแสดงได้แจ่มชัดบนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร มิสอมีเลีย ตัวละครหญิงร่างสูง แข็งแกร่ง นัยน์ตาส่อน เธอย่อมตกเป็นเป้าสายตาด้วยฐานะความเป็นอยู่ที่มีอันจะกิน การปรากฏตัวในสังคม รวมถึงการแต่งกายที่ทะมัดทะแมงเกินหญิง และหน้าที่การงานที่แตกต่างไป เช่น การสวมบทบาทเป็นหมอรักษาคนไข้ด้วยยาที่ทดลองกับตนเอง การขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่บ่อยครั้ง ความแปลกแยกนี้มาพร้อมกับความว้าเหว่ของเจ้าตัว อีกทั้งชุมชนและผู้คนทั้งหลายไม่เข้าใจในการเป็นเพศสถานะของมิสอมีเลีย การพยายามเข้าหาความปกติด้วยการแต่งงานกับชายที่รักเธอ กลับสร้างบาดแผลในหัวใจให้ยิ่งเว้าแหว่งมากขึ้นภายใต้การดำเนินเรื่องด้วยกลวิธีการเล่าโดยบุคคลที่สาม เป็นเสน่ห์อย่างมากสำหรับหนังสือเล่มนี้ และที่ไม่น่าเชื่อคือเนื้อเรื่องค่อย ๆ เผยความระบมช้ำจากความเหงาของตัวละคร ความโศกที่เข้าเทียบกับชีวิตของผู้เขียนอย่าง CARSON McCULLERS (คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส) อย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นฉากการล้มเหลวจากการแต่งงานที่มีระยะการกินอยู่ยาวนานเพียงสิบวันของมิสอมีเลียและอดีตสามี มาร์วิน เมซี่ รวมถึงความรักที่มีให้กับชายค่อม ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมอ้างตัวว่าเป็นญาติ นามว่า (คุณญาติ)ไลมอน อันเป็นรักที่ออกจะไม่ลงรูปลงรอยบนเพศสถานะและความเป็นอื่นในตัวของมิสอมีเลียกระทั่งความรักที่เกิดขึ้นระหว่างมิสอมีเลียและคุณญาติไลมอน ชายผู้มีข้อกังขาในตัวมากมาย อาจด้วยความคลุมเครือผิดแผกที่ทำให้มิสอมีเลียรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขา แต่กระนั้นคุณญาติไลมอนก็มีพฤติกรรมที่แสดงถึงความเหงาอย่างยิ่งยวด ด้วยการพยายามเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดสนใจในยามคาเฟ่ลืมตาตื่น ก่อกวนปลุกปั่นความวุ่นวายเพื่อกลบเกลื่อนความโดดเดี่ยว พร้อมการติดตามสามีเก่าของมิสอมีเลียไปทุกฝีก้าว พึงใจในเรื่องราวโหดร้ายและการเป็นอาชญากรของเขา คล้ายกับชายค่อมตกหลุมรักเขายังไงอย่างงั้น - รักกันเป็นทอด ๆ รักสามเส้า รักไม่สมหวังไม่ลงรอยแม็คคัลเลอร์สแสดงความเหงาโดยเป็นเหงาที่ไม่ได้หมายถึงการโหยหาใครสักคนข้างกาย หากแต่เป็นความเหงาที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอะไรทั้งสิ้น ความเหงาแบบไร้ความเข้าใจ เหงาแบบไม่มีทางออก จัดว่าเป็นหนังสือที่ค่อนข้างอ่านได้ไม่ง่ายนัก ด้วยรายละเอียดปลีกย่อยที่พร้อมเข้าไปย้ำจุดช้ำในหัวใจ ตัวละครที่แม็คคัลเลอร์สสร้างขึ้นมานั้นแข็งแรงมีตัวตนแฝงบุคลิกแปลกประหลาดแต่ทว่ามีความสมจริงและมีชีวิตชีวา แม้จำนวนหน้าแค่เพียงไม่เกินร้อยในส่วนของผู้เขียน CARSON McCULLERS (คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส) เกิดในปี ค.ศ. 1917-1967 รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา หัวใจคือนักล่าผู้ว้าเหว่ คือนวนิยายเล่มแรกของเธอซึ่งสะท้อนความโดดเดี่ยวและความเป็นอื่นผ่านประเด็นเชื้อชาติ ชนชั้น อายุ และเพศสถานะได้อย่างแยบคาย และบทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้า (1951) นวนิยายขนาดกระทัดรัดเล่มนี้ได้กระเทาะความเปลี่ยวเหงาอันเป็นอารมณ์เบื้องลึกของมนุษย์ออกมาอย่างแยบยล ผลงานทั้งสองเล่มทำให้แม็คคัลเลอร์สกลายเป็นนักเขียนยุคสมัยใหม่คนสำคัญและได้รับการยอมรับจนถึงปัจจุบันนี้The Ballad of The Sad Cafe : บทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้าเขียนโดย CARSON McCULLERS (คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส)แปลโดย จุฑามาศ แอนเนียนสำนักพิมพ์ ไลบรารี่ เฮ้าส์ ภาพประกอบที่ 1 โดยผู้เขียน , ภาพประกอบที่ 2 , ภาพประกอบที่ 3 , ภาพปก