เธอจ๋า เราออกไปแตะขอบฟ้าด้วยกันไหม? ฤดูหนาวในทุก ๆ ปี หลายคนมักออกไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เหมาะแก่กับอากาศเย็น ๆ หนาวๆ เชื่อว่าส่วนใหญ่คงเลือกไปเที่ยวกันในโซนภาคเหนือ ทั้งป่า เขา ดอย หรือน้ำตก เพื่อไปพิชิตความหนาวเหน็บและความสนุกสนานระหว่างการเดินทาง วันนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ที่ถือว่าควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยียนสักครั้งในชีวิต ที่แห่งนั้น คือ ดอยม่อนจอง ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ทุ่งหญ้าสีทอง”Cr. https://apiencompass.com/ ดอยม่อนจอง เป็น 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 171 กิโลเมตร เปิดให้บริการท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึง 15 กุมภาพันธ์ในทุกปี หลังจากนั้นจะปิดไม่อนุญาตให้ท่องเที่ยวเพราะต้องระวังภัยเรื่องช้างป่าที่ออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ทริปนี้ เราไปช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ไปกันทั้งหมด 24 คน เดินทางโดยรถตู้ 2 คันและรถกระบะ 1 คัน เริ่มออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่แต่เช้าตรู่ประมาณตี 5 มีจอดพักระหว่างทาง 2-3 ครั้ง ถึงศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจองประมาณ 8 โมง ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง เมื่อถึงศูนย์บริการฯ ทุกคนก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว ทานอาหารเช้า เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ดอยม่อนจอง Cr. by meCr. by me ใช้บริการรถ 4WD ทั้งหมด 3 คันและลูกหาบ 9 คน สำหรับการขนของและพวกเราไปยังจุดเริ่มเดิน จากศูนย์บริการฯไปถึงจุดเริ่มเดินระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เนื่องจากเป็นทางเขาที่มีทั้งหลุม ทั้งบ่อ ทั้งทางชัน ที่ทำให้เดินทางลำบากและใช้เวลานิดหน่อย แนะนำว่าควรมีผ้าปิดปากติดตัวไว้ค่ะ เพราะฝุ่นหนักมากตลอดทาง พวกเราถึงจุดเริ่มเดินประมาณ 10 โมงครึ่ง ก็เริ่มเดินเท้าสู่ยอดดอยม่อนจองเลยค่ะ ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินเท้ามากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ละคน สำหรับใครที่ไม่ใช่สายเดินป่าจริงจัง สามารถหยิบยืมไม้เพื่อช่วยเดินป่าได้นะคะ ส่วนเรานั้นสายชิลค่อย ๆ ไป เดินไปพักไป เดินไปชมวิวไป กว่าจะถึงก็บ่าย 2 แล้วค่ะ ใช้เวลาไปประมาณ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางมีทั้งทางสบาย ๆ ทางลื่น ทางชัน เราล้มลุกคลุกฝุ่นอยู่ไม่น้อย ถือว่าสนุก ๆ กันไปค่ะ แต่พอไปถึงยอดดอย ความเหนื่อยทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะบรรยากาศสวยเพลินตา อากาศดีมาก คุ้มค่ากับความเหนื่อยสุด ๆ เลยค่ะCr. by meCr. TatumpPhotos จะลืมพูดถึงจุดสำคัญของความเหนื่อยสุด ๆ ก็คงไม่ได้ใช่ไหมคะ “เนินหมาหอบ” หรือ “เนินฮิบหอบ” ทำเราหอบสมชื่อเลยค่ะ กว่าจะผ่านเนินนี้ไปได้ต้องระวังมากเป็นพิเศษเลย เพราะทางชันมาก ลื่นมาก แต่ก็เช่นเคยค่ะ ผ่านไปได้วิวสวย ๆ ลมเย็น ๆ รออยู่ ช่วยบรรเทาความเหนื่อยได้เยอะเลยค่ะCr. by me อดทนกับความเหนื่อย เพื่อความสวยงามที่รออยู่ เวลาของความหิวและการพักผ่อนมาถึง ก่อนจะแยกย้ายกันไปชมความสวยงามต่อที่ผาหัวสิงห์ จุดสูงสุดของดอยม่อนจอง เราเดินผ่านสนามกอล์ฟช้างไปยังจุดกางเต็นท์ ซึ่งสนามกอล์ฟช้างเป็นทุ่งหญ้าสีทองลัดเลาะไปตามสันเขา ลมเย็นปะทะกับใบหน้า กับภาพวิวตรงหน้า ทำให้ระหว่างการเดินเป็นเหมือนการฮีลเราจากทุกความเหนื่อยล้าที่สะสมมาCr. TatumpPhotos อาหารชดเชยความเหนื่อย มีทั้งมาม่า หมูย่าง ขนม พออยู่ท้องค่ะ เราเลือกนอนพักมากกว่าเดินไปชมวิวยามเย็น เพราะเราไม่ไหวจริง ๆ หัวถึงหมอนคือหลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีก็มืดค่ำ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เหมือนเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ บนยอดดอยก็ว่าได้ สนุกสนานกันไป ถึงเวลาเข้านอนก็หลับเป็นตายเหมือนกันค่ะ ช่วงที่เราไปอากาศเย็นกำลังดี ช่วงค่ำจนถึงเช้า ๆ อากาศหนาวขึ้นมาหน่อย ๆCr. TatumpPhotosCr. TatumpPhotosCr. by me มื้อเช้าในวันถัดมาก็ยังคงเป็นหมูย่างค่ะ และมีทั้งไมโล โอวัลติน กาแฟ ขนมปัง ตามแต่ความชอบของแต่ละคน หลังจากจัดการธุระส่วนตัว เคลียร์พื้นที่กางเต็นท์เสร็จ เวลาประมาณ 10 โมงเช้า พวกเราก็เดินเท้าลงดอยค่ะ แวะถ่ายรูปรวมทริปที่สนามกอล์ฟช้าง และไต่เนินฮิบหอบลง ซึ่งก็อันตรายและต้องระวังมากเหมือนกับตอนขึ้นมา พวกเราลงมาถึงจุดเริ่มเดินเท้าตอนประมาณบ่ายโมง และขึ้นรถ 4WD กลับไปยังศูนย์บริการฯCr. TatumpPhotosCr. TatumpPhotos พักกันซะหน่อย ที่ศูนย์บริการฯมีบริการห้องน้ำ ก๊อกน้ำล้าง มีร้านขายน้ำเพื่อดับความร้อนและลดความเหนื่อยอยู่ค่ะ เมื่อพร้อมกันแล้วก็เดินทางกลับสู่ตัวเมืองเชียงใหม่กัน เราพลาดการดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เพราะตื่นสาย แต่เช้าวันนั้นท้องฟ้าไม่เปิด เป็นช่วงที่พายุกำลังจะเข้าพอดี น่าเสียดายอยู่นะคะ แต่ก็ไม่เสียใจที่ได้มาท่องเที่ยวรับชมบรรยากาศที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้ที่ดอยม่อนจองแห่งนี้ฮีลใจ ฮีลร่างกาย ด้วยบรรยากาศใหม่ ๆ ที่คุณจะลืมไม่ลง