"ผ้าห่มปก ดินแดนแห่งสายหมอก" หากจะกล่าวถึงอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกเช่นนี้คงไม่ผิดนัก วันนี้เราจะพานักอ่านทุกท่านเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศไทย และมีจุดกางเต็นท์ กิ่วลม ซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ฟังแค่นี้ก็รู้สึกถึงความพิเศษแล้วใช่ไหม งั้นไปกันเลย... เมื่อเดินทางมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เราต้องมาเปลี่ยนรถเพื่อเดินทางต่อไปสู่ยอดดอยผ้าห่มปก หรือที่ตั้งของลานกางเต็นท์กิ่วลมนั่นเอง ในสภาพอากาศที่มีฝนตกโปรยปรายตลอดเวลา นี่คือเส้นที่เราพบเจอ ถึงจะดูลำบากไปบ้างแต่ก็แฝงไปด้วยความงดงามอยู่ตลอดเส้นทาง จุดชมวิวก่อนถึงลานกางเต็นท์กิ่วลม ที่มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหมอกขาวๆ สายลมพัดอ่อน เคล้ากลิ่นดินหลังฝนตก เราใช้เวลาเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงลานกางเต็นท์กิ่วลม ลานกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ความสูง 1,924 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราได้รับการต้อนรับด้วยหมอกหนาแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่าย 3 โมงเย็นแล้วก็ตาม หลังจากจับจองที่นอนของใครของมันแล้ว เราใช้เวลาที่เหลือก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเดินเล่นไปรอบๆลานกางเต็นท์กิ่วลมแห่งนี้ อาจจะเพราะเราเดินทางมาในวันธรรมดาจึงทำให้ที่นี่เงียบสงบ มีนักท่องเที่ยวไม่ถึง 20 คน หรืออาจจะเป็นเพราะการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบาก แต่อย่างไรแล้วความลำบากก็ยังมีข้อดีของมัน ที่ทำให้รู้ว่าหากที่นี่ไม่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ความสวยงามแบบนี้จะยังคงอยู่หรือไม่... ในเวลาแบบนี้สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกเบื่อความเงียบเหงา ที่นี่ไม่มีความบันเทิงใดใดนอกจากเสียงลม เสียงฝน เสียงนกและเสียงพริ้วไหวของใบไม้ แต่กลับทำให้ผู้คนที่เดินทางไกลมาจากเมืองใหญ่มีความสุขได้อย่างน่าประหลาดเพียงแค่ได้นั่งมองหมอกหนาทึบ ที่ไม่เห็นแม้แต่วิวใดใด ค่ำแล้ว เรากำลังจะผ่านวันนี้บนยอดดอยไปด้วยอากาศหนาวเย็น ทั้งๆที่เมื่อกลางวันอากาศข้างล่างสูงราว 40 องศาเซลเซียส แต่ละคนรีบทำธุระส่วนตัวและเข้าสู่เต็นท์ที่พักของตนอย่างรวดเร็ว เพียงเพื่อหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความหนาวเย็นลงได้บ้าง ต่างคนต่างรีบเข้านอนเพื่อเตรียมตัวเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยผ้าห่มปกในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น และใช่เราผ่านค่ำคืนนี้ไปโดยที่ไม่เห็นดาวซักดวง จะมีก็เพียงแต่หมอกหนาและสายลมพัดกระหน่ำแทน 04.30 น. หลังจากทำภารกิจส่วนตัวแล้ว พวกเราเหล่านักเดินทางที่รู้จักกันโดยบังเอิญได้รวมตัวกันและมีเจ้าหน้าที่นำทางขึ้นสู่ยอดดอยผ้าห่มปก คำพูดแรกของเจ้าหน้าที่ยามเช้านี้คือ "วันนี้พวกน้องขึ้นยอดดอยกลุ่มเดียวนะเนี่ย" เรารู้สึกพิเศษขึ้นทันที เราจะเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวของวันนี้หรือนี่ แต่ดีใจได้เพียงไม่นานใจที่กำลังพองโตก็ต้องเหี่ยวแฟบลงทันใดด้วยคำพูดของเจ้าหน้าที่ที่พูดต่อว่า "แต่เมื่อวานฝนตก ฟ้าอาจจะไม่เปิดนะ" เอาน่ะมาแล้วก็ต้องไปให้เห็นกับตา เราได้แต่มองตากันและกันเพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะฝ่าความืดขึ้นสู่ยอดดอยด้วยระยะทางกว่า 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าราว 2 ชั่วโมง แต่เป็นสองชั่วโมงที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวไปหมดราวกับหลุดเข้ามาในป่าแห่งเทพนิยาย ต้นไม้เขียวขจีที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยละอองน้ำค้าง ทำให้ทุกครั้งที่สูดอากาศเข้าไปรู้สึกสดชื่น และในที่สุดเราก็มาถึงยอดดอยผ้าห่มปก ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลย เราถูกต้อนรับสู่ยอดดอยด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขา เหมือนกับชื่อของที่แห่งนี้ "ผ้าห่มปก" เราใช้เวลาดื่มด่ำกับความสุขตรงหน้าเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ ต่างคนต่างช่วยกันภาวนาให้ฟ้าเปิด แม้เพียงซักนิดก็ยังดี ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส หลังจากถ่ายรูปกันจนเป็นที่พอใจแล้ว เรายืนหนาวสั่นเพียงหวังว่าฟ้าจะเป็นใจให้เราได้เห็นความงดงามโดยไร้หมอกปกคลุม แต่เราคงจะหวังมากเกินไป ราว1ชั่วโมงที่นั่งรอ นี่คือสิ่งที่เราพบเห็น... ภาพเหล่านี้คือภาพที่ดีที่สุดที่ฟ้าเปิดโอกาสให้เราเห็น ถามว่าเสียใจไหม เราคงตอบว่าไม่ ธรรมชาติคือสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าวันไหนท้องฟ้าจะแจ่มใส วันไหนท้องฟ้าจะมืดมน แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของธรรมชาติที่ทำให้ผู้คนหลงรัก เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะพบกับหมอกหนา ฝนที่โปรยปรายหรือท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งจนกว่าจะได้มาเจอด้วยตัวเอง ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับชีวิตของคนเราที่มีทั้งช่วงเวลาที่สุขและทุกข์ หากแต่เราทำใจที่จะเรียนรู้เพื่ออยู่กับมันโดยไม่คาดหวัง เราก็จะผ่านมันไปได้อย่างสวยงาม..... ภาพประกอบโดย ขวัญดาว