~ Raining in my heart @Chiangmai ,Thailand ~ สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน นักเขียนขออนุญาตใช้คำว่า "ทีเค" เป็นนามปากกานะคะ รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ทุกคนเข้ามาอ่านบทความนี้ บทความนี้เป็นบทความเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ช่วย Heal จิตใจของนักเขียน การเขียนบทความครั้งนี้ เป็นการเขียนบทความครั้งแรก หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ ทีเคหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความฉบับนี้จะให้ความรู้และข้อคิดกับนักอ่านทุกท่าน ขอให้สนุกและเพลิดเพลินไปกับบทความนี้ค่ะ ทุกคนเคยรู้สึกเหมือนกันมั้ยคะ? หลังเรียนออนไลน์ รู้สึกว่าเหมือนชีวิตขาดรสชาติ เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายออกไปจากชีวิต ถึงแม้ว่าไม่ต้องเดินทางไปเรียน ตื่นแล้วเรียนได้เลย กินไปเรียนไป สบายสุด ๆ แต่ยังรู้สึกเหนื่อย เหมือน Passion ในการใช้ชีวิตหายไป จนวันหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างให้ชีวิตน่าตื่นเต้นแล้วแหละ เลยเริ่มปฏิบัติการเก็บเป้าหมายในชีวิต อย่างแรกที่เลือกทำก็คือ อยากเดินทาง อยากไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ในเมือง ประจวบเหมาะกับเพื่อนสมัยมัธยมปลายชวนไปเที่ยวเหนือพอดี เลยได้ข้อสรุปว่า ไปเชียงใหม่กัน การเดินทางครั้งนี้จะเป็นแบบ backpack ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นมาก ทริปสามสาวแอ่วเชียงใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น วันที่ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 18.10 น. FIRST TICKET OF MY FIRST JOURNEY ออกจากกรุงเทพ มุ่งสู่ เชียงใหม่ โดยเราตัดสินใจเดินทางโดยรถไฟใหม่ ช่วงนั้นที่ไปคือหิวมากเพราะบนรถไม่มีตู้เสบียงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพราะฉะนั้น ทุกคนอย่าลืมเช็คล่วงหน้า กับเตรียมเสบียงไปด้วยนะคะ T^T เริ่มต้นทริปด้วยมุมถ่ายรูปที่ดือ บนรถไฟมีหลายมุมเลยค่ะ พนักงานบริการดีมากๆๆ คือเพื่อนลืมของไว้เตียงล่าง ซึ่งพวกเรา 3 คนนอนเตียงบน พนักงานเลยคิดว่าของชิ้นนั้นเป็นของคนที่นอนเตียงล่าง และเขาลงรถไฟก่อนเราโดยลงที่สถานีลำปาง พนักงานเลยส่งของลงลำปางเพื่อให้เค้ามารับของที่ลืมไว้ แต่เพื่อนเราไปแจ้งก่อนลงสถานีเชียงใหม่ ว่ามีของหาย น่าจะลืมไว้ตรงเตียงล่าง พนักงานดูกระตือรือร้นมาก และสุดท้ายเพื่อนเราก็ได้ของคืนเพราะพนักงานช่วยติดต่อ ประสานให้ โทรมาแจ้งหลายรอบ บริการดี ประทับใจ 💓 รีวิวการนอนบนรถไฟใหม่ : สำหรับทีเคเอง ปกติเป็นคนหลับง่ายและหลับลึกมากๆ แต่ช่วงนี้วุ่นๆเรื่องรับน้องมหาลัย เลยทำให้นอนหลับไม่สนิทเพราะปกตินอนเช้าทุกวัน พอเปลี่ยนเวลานอนทำให้นอนหลับยากหน่อย รถขบวนนี้นิ่มกว่ารถไฟปกติ(รถไฟแบบออริจินัล) โดยรวมถือว่าดีเลย สีหน้าก่อนนอนยังสดใสอยู่ พอตื่นเช้าแล้วรู้ว่าพายุเข้าแค่นั้นแหละ 😢 บันทึกไว้ว่า เจอกับป้าคนนึง เค้าเดินทางมาจากกรุงเทพเหมือนเรานี่แหละ ป้าโคตรใจดีเลย แนะนำเราหลายอย่างมากๆ ตรงนั้น ต้นลำไยนะ ตรงนั้นต้นยางนะ ตรงนี้ค่ายทหารนะลูกป้าเคยอยู่ที่นี่ แถมแซวว่าเรามาเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝน ช่วงพายุเข้าด้วย แปลกดี อื้ม เราก้รู้สึกแปลกใจแหละ แต่ใจอยากเดินทาง ทำไงได้ มาแล้วก็ต้องไปให้ถึง สถานีต่อไป 👉🏻แม่กำปอง👈🏻 มารอดูกันว่าเดินทางยังไง วันที่ 3 เมษายน 2563 ถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ หลังจากลงรถแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปขึ้นรถข้างนอก ขณะออกจากสถานีรถไฟ ฝนเริ่มตก ทุกคนเคยได้ยินตำนานรถมีสีสีหนึ่งมั้ยคะ? เราประสบกับตัวเองแล้วค่ะ เลยตกลงกับเพื่อนว่าจะเดินจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปตลาดวโรรสระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร คือตอนนั้นเหมือนชิมลางความลำบากของทริปนี้เลย แบกกระเป๋า 18 kg เดิน 2 km อันนี้คือไหว แต่ที่พีคกว่านั้นคือเดินกลางฝน ลองนึกภาพนะคะ คนๆนึงเดินสะพายเป้ใหญ่ๆ สะพายกระเป๋ากล้อง ถือขวดน้ำ1.5ลิตร และมือถือร่มอีกข้างเดินกลางสายฝน พยายามเดินไม่ให้รองเท้าผ้าใบเปียกน้ำเพราะกลัวกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่จุดพีคอยู่ที่ตอนข้ามสะพานนวรัตน์ น้ำ 1.5 ลิตรที่หนีบแขนไว้กับตัวดันฝาหลุด น้ำหกใส่รองเท้าผ้าใบ ความรู้สึกตอนนั้นอยากกระโดดลงแม่น้ำปิง อุตส่าห์พยายามเดินเลี่ยงน้ำจนใกล้ถึงตลาดวโรรสแล้ว แต่พอลองมองย้อนไป เราก็ถึกดีเหมือนกันนะ จากนั้น ก็ไปแวะฝากท้องกับมื้อเช้าที่ตลาดวโรรส ประทับใจผัดเผ็ดกบ ❤️ ทุกคนต้องไปลอง ร้านอยู่ชั้นใต้ดิน กินเสร็จก็ต้องไปขึ้นรถตู้เชียงใหม่-สันกำแพง คิวรถอยู่ติดแม่น้ำปิง ตอนนั้นก้อ๋อนะคะ คงไปถูกแหละ และก็พาเพื่อนไปซื้อคอนแทคเลนส์ที่ร้านขาวฟ้า พอกลับมาผ่านหน้าธนาคารมีชื่อชื่อหนึ่ง เจอลุงยาม เลยถามทางไปคิวรถตู้ ลุงบอกว่าต้องข้ามสะพานนวรัตน์ไปเลี้ยวขวาเดินตรงไปยาวๆถึงสะพานเหล็ก ตอนนั้นก็รู้สึกขาอ่อนแรงขึ้นทันใด สู้ต่อ เดินต่อเกือบ 1 km ท่ามกลางฝนนั้นแหละ รองเท้าทุกอณูเต็มไปด้วยน้ำ 😩 พอถึงที่หมายก็ถามหาคิวรถจากคนแถวนั้น เค้าบอกว่าตรงนี้เป็นคิวรถเชียงใหม่-ลำพูนนะ ทุกคนเคยพบกับความรู้สึกน้ำตาเช็ดเข่ามั้ยคะ ประเด็นคือใกล้ถึงเวลารถออกไปแม่กำปองแล้ว เลยตัดสินใจเหมารถน้ำเงินไปที่ท่ารถตู้ และแล้ว เราก็มาทันคิวรถค่ะทุกคน ปรบมือสิ 😂 ทุลักทุเลมาก นั่งรถตู้ยาวๆ ไป-กลับ ตอนแรกคิดว่าจะเช่ามอไซค์ไปกันเอง แต่ดีแล้วที่ไม่เอาแบบนั้นเพราะช่วงนั้นฝนตกหนักถนนลื่น ถ้าเราเช่ามอไซค์ทุกคนอาจจะได้ยินข่าว นศ.ม.ดัง เที่ยวแม่กำปอง ขับรถตกเขาเรียบร้อยแล้ว และแล้วก็ถึงแม่กำปองโดยสวัสดิภาพ ถือว่าคุ้มค่ากับความเปียกปอน หลังจากลงรถแล้วเราต้องเดินขึ้นไปอีก ประมาณ 300 เมตร เพื่อไปที่พัก เราไปพักบ้านลุงบูลย์ เป็นโฮมสเตย์ที่เป็นที่เลื่องลือของแม่กำปอง ทางเดินเข้าบ้านลุงบูลย์ บรรยากาศภายในบ้านลุงบูลย์ วันนั้น ฝนตกพรำๆ ตกๆ หยุดๆตลอด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายรูปใดๆ มื้อแรกที่แม่กำปอง เป็นส้มตำ ต้มแซ่บ ไส้ย่าง อร่อยมาก อาหารถูกปาก กล้วยปิ้งกับไข่ป่ามอร่อยมากๆ ที่นั่นเรียกไข่ป่ามว่าไข่เจียว แต่รสชาติเหมือนไข่ทรงเครื่องเลยค่ะ 🥺 ร้านอาหารบนแม่กำปอง แค่เห็นภาพก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว BE THE LIGHT IN THE DARK @MAE KAM PONG ,CHIANG MAI ,THAILAND เราได้เจอและทำความรู้จักกับพี่ที่พักบ้านลุงบูลย์เหมือนกัน พวกพี่ๆชวนเราไปเดินป่าตอนเช้าวันที่ 4 รีบตกลงเลยค่ะ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมาก อยากลองเดินป่ามานานแล้ว ซึ่งไกด์นำทัวร์ก็คือ ลุงบูลย์ของเรานั่นเองค่ะ วันที่ 4 สิงหาคม 2563 เช้าวันที่ 4 เป็นวันที่สองในรอบหลายเดือนที่ตื่น 7 โมง เมื่อคืนหลับสบายมาก ไม่ต้องใช้พัดลม อากาศหนาวกำลังดี จากนั้นก็ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปทานข้าวและรอลุงบูลย์พาไปเดินป่า กับข้าวเช้าเป็นข้าวต้มใส่ไข่เจียวกับหมูสับ อร่อยมากค่ะ ทานเสร็จก็รวมพลไปขึ้นสองแถว เพื่อขับขึ้นเขาไปตรงจุด start ขับผ่านน้ำตกแม่กำปองขึ้นไปก็ถึงเส้นทางเดินป่า แรกๆยังชิว หลังๆ ชันนิดๆ แต่ไหว ช่วงนั้นมีเห็ดขึ้นตลอดทาง สัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ ชอบความรู้สึกตอนลมเย็น ๆ ปะทะหน้า เดิน 10 km ก็ไม่เหนื่อย ฟินดี เราเดินป่าเกือบ 2 ชั่วโมง บรรยากาศดีมาก ๆ เลยค่ะ เดินป่าเสร็จก็เดินลงมาน้ำตก แวะซื้อทองม้วนกับขนมดอกจอกของชาวบ้าน ตรงน้ำตกมีหมาน่ารักมาก ๆ ถ้าใครไป ฝากให้ขนมน้องด้วยนะคะ 🥺 ก่อนกลับ แวะคาเฟ่ริมระเบียง โกโก้ไม่หวาน เข้มข้นดี มุมถ่ายรูปที่นี่เค้าดีจริงสมคำร่ำลือ หลังจากนั้นก็เก็บของ เตรียมกลับเข้าตัวเมือง เชียงใหม่ คืนวันนั้นเราเลือกพักโรงแรม ชื่อว่า We briza hotel และได้ไปฟังดนตรีแจ๊สที่ The north gate jazz co-op กับพวกพี่ๆที่รู้จักกันที่แม่กำปอง เป็นความทรงจำที่ดีมากของการเดินทางครั้งนี้ ได้เพื่อนใหม่ ได้แชร์สถานที่เที่ยว ได้ Connection เพิ่มขึ้นด้วย วันที่ 5 สิงหาคม 2563 ขอเกริ่นก่อนว่า ตอนแรกแพลนที่เราจะไปในวันนี้คือ ห้วยกุ๊บกั๊บ สถานที่ unseen หมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า วิวสวยมาก แต่ว่า!! พี่ที่ห้วยกุ๊บกั๊บโทรมาแจ้งว่า รถไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้แล้ว ถ้าไปก็ต้องเดินขึ้นไป 4 km ซึ่งเส้นทางขึ้นไปเป็นถนนดินแดง + น้ำฝน = ลื่นแน่นอน เลยวางแผนใหม่ว่าจะไปเชียงดาว แต่เชียงดาวปิดอุทยานเพราะช่วงนั้นมีพายุเข้า เลยต้องหาสถานที่ใหม่ ตอนนั้นคือใจแป้วแล้ว การเดินทางครั้งนี้ ถอดบทเรียนสำคัญเลยคือ เช็คสภาพอากาศล่วงหน้าด้วย! แต่แล้วเราก็หาสถานที่เที่ยวจนเจอ สถานีต่อไปของเราก็คือ “บ้านป่าบงเปียง” ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ทำนาขั้นบันได ไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน ซึ่งสนองความต้องการเรามากๆ อยากลองอยู่แบบไม่ต้องใช้ไฟฟ้า มืดๆ สงบๆ แต่การเดินทางจากที่พักไปบ้านป่าบงเปียงนั้นมี 4 ต่อค่ะทุกคน ถือว่า Backpack ครั้งแรกนี้ ให้ประสบการณ์แน่นมากเลยค่ะ 👉🏻ต่อแรก : นั่งรถจากโรงแรมไปขึ้นรถเหลืองที่ประตูเชียงใหม่เพื่อไปจอมทอง 👉🏻ต่อที่สอง : นั่งรถเหลืองจากเชียงใหม่ไป จอมทอง 👉🏻ต่อที่สาม : นั่งรถเหลืองจากจอมทองไปน้ำตกแม่ปาน โดยขึ้นรถเหลืองจอมทอง-แม่แจ่ม 👉🏻ต่อที่สี่ : มีรถจากคนในหมู่บ้านมารับ มาถึงที่นี่ ความเหนื่อยจากการเดินทางสามวันหายวับ คือสวยมากๆ อยากให้กล้องบันทึกได้แบบที่ตาเราเห็น ขอเกริ่นก่อนว่า ผู้แต่งเรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เลยค่อนข้าง Concern เกี่ยวกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวในเกษตรกรรมไทย การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตร การเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา PM 2.5 ที่เป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งในไทยมีโครงการดาวเทียม IOT เพื่อตรวจจับความชื้น ความเข้มของแสง ควัน หรือประกายไฟซึ่งนำไปสู่การเกิดไฟป่าได้ แต่หากมองกลับกัน ด้วยภูมิประเทศของภาคเหนือ เป็นภูเขาเล็ก ใหญ่สลับซับซ้อน ดังนั้น การทำนาขั้นบันได ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ลาดชันให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อีกด้วย ภูมิทัศน์นาขั้นบันไดที่นี่สวยมากค่ะ อยากให้นักอ่านลองไปสักครั้ง สบายตา เหมาะแก่การมาพักใจ💞 ที่พักเราไปพักบ้านม่อนนา รู้สึกโชคดีที่ได้บ้านหลังนี้ มีหลายโฮมสเตย์มากๆๆ แต่เรารู้สึกว่าวิวบ้านเราโอเคมากๆ มีชานหน้าบ้าน ปูเสื่อนอนดูดาวได้เลย (3) ม่อนนาป่าบงเปียง โฮมสเตย์ | Facebook นี่เป็นลิงค์บ้านพักนะคะ ก่อนเข้าไปควรโทรจองก่อนนะคะ ^^ ตกเย็น เราได้เห็นแสงอาทิตย์ครั้งแรกหลังจากมาเชียงใหม่ รู้สึกดีมากๆ มั่นใจว่าคืนนี้ได้นอนดูดาวแน่ๆ โฮมสเตย์ที่นี่มีอาหารเย็นและเช้าให้ด้วย สิ่งที่ใฝ่ฝันมานานคือ นั่งทานหมูจุ่มบนดอย ตอนแรกเกือบไม่ได้ทานแล้วค่ะ เพราะเราโทรจองที่พักกะทันหัน พี่เค้าเตรียมไม่ทัน แต่ลุงเจ้าของบ้านเข้าเมืองแม่แจ่มพอดี ลาภปากเลยค่ะ หลังจากสั่งหมูจุ่มเสร็จก็เดินสำรวจประมาณ 500 เมตร เจอร้านขายขนม แต่รู้สึกว่าเห็นแค่วิวก็อิ่มแล้ว มันมีความรู้สึกชุ่มฉ่ำไปหมด หากข้าวออกรวงไม่รู้จะสวยขนาดไหน ตกกลางคืน ท้องฟ้าเริ่มโปร่ง ก๊วนเราปูเสื่อ นอนตรงชานหน้าบ้านเพื่อดูดาว ช่วงแรกมีดาวจำนวนน้อย ผ่านไปสักระยะ ดาวเต็มท้องฟ้า สวยมากๆ อยากถ่ายรูปเก็บไว้แต่กล้องเราไม่สามารถถ่ายให้เห็นดาวและริ้วทางช้างเผือกได้ วันที่ 6 สิงหาคม 2563 เริ่มต้นเช้านี้ด้วยข้าวต้มพร้อมวิวหลักล้าน สูดออกซิเจนเข้าเต็มปอด เพราะได้เวลาต้องกลับสู่โลกแห่งความจริงแล้ว ตอนเช้ามีทะเลหมอกลงด้วย อยากนั่งมองแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยากให้มีมุมแบบนี้ใกล้สถานศึกษา เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สัญญาว่าจะพาตัวเองกลับมาที่นี่อีกครั้ง ตอนกลับ รอรถเหลืองแม่แจ่ม-จอมทอง นานมากค่ะ เลยตัดสินใจกับก๊วนว่าจะโบกรถ โบกไปสองคัน คันที่สาม คุณลุงจอดรับเราแล้วพาไปส่งที่จอมทอง ตอนนั้นดีใจมากค่ะ เป็นการโบกรถครั้งแรกและสำเร็จด้วย Backpack ครั้งนี้ คุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ ขออนุญาตแนบคลิปวิดีโอการโบกรถประกอบนะคะ https://www.instagram.com/p/CD1Poa-hA30/?utm_source=ig_web_copy_link BAN PA PONG PIANG @ CHIANG MAI ,THAILAND หลังจากจบทริปนี้ ผู้แต่งได้ตกตะตอนความคิดกับตัวเองว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองและคนในครอบครัว โดยอาศัยทรัพยากรที่มีในธรรมชาติ มาแปรรูปให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งในรูปแบบสินค้าและบริการ ซึ่งเราได้ผลตอบแทนในรูปแบบของเงินหรือความพึงพอใจของผู้มาใช้บริการ แต่ทรัพยากรธรรมชาติที่เราได้มาฟรีหรือต้นทุนต่ำมาก กลับไม่ได้ผลตอบแทนอะไรจากเราเลย ดังนั้นแล้ว เราสามารถทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนธรรมชาติได้บ้าง ซึ่งเป็นคำถามที่ได้คำตอบที่ยังไม่กระจ่าง และยังอยู่ในใจของนักเขียนตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม อยากขอบคุณตัวเองมาก ที่พาตัวเองมาที่เหล่านี้ และขอบคุณธรรมชาติ ที่เป็นที่พักพิงให้มนุษย์ตลอดมา รู้เลยว่า ตัวเองไม่สามารถบรรยายความสวยของธรรมชาติได้ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้สัมผัสด้วยตัวเอง ถึงจะรู้คำตอบว่าธรรมชาติ สวยแค่ไหน เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำเหมือนมีคนเอาน้ำมารดหัวใจ มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว มองแล้วสบายตา สบายใจ ทริปนี้เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเดินทางของนักเขียนมาก ๆ เหมือนได้อยู่กับตัวเอง มีเวลาคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อก่อนเคยถามตัวเองตลอดว่า อะไรคือความสุข ทุกวันนี้เรายังเหลือความสุขในการเรียนหรือทำงานจริงหรอ มองหาคำตอบตลอดเวลาว่าความสุขของตัวเองคืออะไร จนได้คำตอบแล้วว่า ความสุขของตัวเรา คือการที่เห็นเรามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หากมีสิ่งใดทำให้ตัวเองเกิดความกังวล ไม่สบายจนทำให้เกิดความเครียด ไม่สามารถอยู่ในสภาวะแบบนี้ได้ ก็แค่ถอยออกมาทบทวนกับตัวเอง หาสถานที่ที่สงบ เต็มไปด้วยธรรมชาติ ให้ธรรมชาติบำบัดจิตใจ ถือว่าเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว เกิดมาแล้วต้องหาความสุขให้เจอ อย่าจมอยู่กับความทุกข์นานเกินไป เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ประสบปัญหาในชีวิตนะคะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเหมือนที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั่นแหละค่ะ ผู้แต่งหวังว่านักอ่านทุกคนจะมีความสุขและเพลิดเพลินกับบทความนี้นะคะ สุดท้ายนี้ หวังว่านักอ่านทุกท่านสามารถผ่านพ้นวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด 19 ไปได้อย่างปลอดภัยนะคะ ENJOY YOUR LIFE AND STAY SAFE หมายเหตุ : รูปภาพในบทความฉบับนี้ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผู้แต่ง ห้ามคัดลอก เลียนแบบ หรือแก้ไข โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แต่ง ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณกาญจน์ชนิต ธำรงบุญเขต คุณธำรงรัตน์ ธนภัคพลชัย.[2563] เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการ รับมือไฟป่า ที่เกิดขึ้นในป่าลึกได้อย่างไร.[online]. แหล่งที่มา https://ngthai.com/environment [07 ตุลาคม 2564] อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !