เสียงบีบแตร เครื่องยนต์รถ และฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ไม่ได้สร้างความลังเลในการเดินทางเที่ยวในครั้งนี้ของฉันเท่าไหร่นัก เป้าหมายสำหรับ One Day Trip ในครั้งนี้ของฉันกับเพื่อนคือ วัดศรีมุงเมืองและชุมชนไทลื้อบ้านลองเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มเดินทางจากตลาดวโรรส โดยอาศัยรถประจำทางสายเชียงใหม่ ดอยสะเก็ต สามารถขึ้นรถได้ตรงคิวรถหน้าห้างทองโอ้วจินเฮง โดยออกเดินทางประมาณ 09.00 น. ราคาค่าโดยสาร 18 บาท หรือจะเหมากันก็ได้ ตกอยู่ที่คันละ 300-400 บาท แล้วแต่จะต่อรองกันเอง พี่คนขับเค้าบอกมากันแบบนี้ หลังจากรถเคลื่อนตัวออดจากท่ารถได้ไม่ถึง 10 นาที อาการแพ้ยานพาหนะก็กำเริบ สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นอาการคลื่นใส้วิงเวียนศีรษะ แต่สำหรับฉัน มันคืออาการง่วง ง่วงบนยานพาหนะทุกอย่างที่เคลื่อนที่ โชคดีเหลือเกินที่เพื่อน ๆ เลือกการนั่งรถมาแทนที่จะขับรถกันมาเองอย่างทุกที เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจบอกได้ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ปลุกเมื่อถึงที่หมาย แสงอาทิตย์ในหน้าร้อนแผดเผาไปทั่วจนต้องหยิบหมวกมาสวม แสงทองเรืองรองส่องกระทบสถาปัตยกรรมแบบพม่าน่าเลื่อมใส บ้านชื่อวัดศรีมุงเมืองบอกสถานที่แรกของทริปได้อย่างชัดเจน วิทยากรประจำวัดเชิญเราเข้าไปยังวิหารหลักของวัด ปะติมากรรมพระพุทธรูปแบบนูนสูงบนกำแพงด้านในรอบวิหารเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของวัด วิทยากรเล่าว่า มีรูปพระพุทธรูปทั้งหมด 555 รูป สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 แต่ถึงแม้จะสร้างขึ้นในยุคสมัยปัจจุบัน แต่ยังคงศิลปะแบบพม่าไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อออกมานอกบริเวณวัด วิทยากรได้พอเราเดินชมรอบ ๆ อาณาบริเวณวัด พร้อมกับเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของวัดและเจดีย์องค์ต่างๆ ก่อนจะเลยออกทางประตูหลังของวัด เพื่อออกไปชมเสื้อเมืองหรือใจกลางเมือง อันเป็นลิ่มไม้ขนาดใหญ่ สูงประมาณอก ปักลงพื้นดิน ในวันที่ 3 เมษายน ปี พ.ศ. 1932 ซึ่งเป็นวันที่ย้ายถิ่นฐานจากจีนมาตั้งหมู่บ้านบริเวณนี้ที่เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เสื้อเมืองจึงเป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน ในทุกวันที่ 13 เมษายน ของทุกปีจะมีการทำบุญเสื้อบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลของหมู่บ้าน หากคนในหมู่บ้านมีการเดินทางไปเที่ยว ไปทำธุรกิจ ไปสอบก็จะมาไหว้เสื้อบ้านเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ชาวไทลื้อนับถือผีปู่ย่าซึ่งคอยดูแลรักษาชาวบ้าน หากหนุ่มสาวจับมือหรือมีอะไรล่วงเกินกัน พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะล้มป่วยได้ ซึ่งจะต้องมาไหว้ขอขมาผีปู่ย่าจึงจะหายป่วย ลูกหลานชาวไทลื้อจึงไม่นิยมมีแฟนในวัยเรียน หากจะมีแฟนจะต้องบรรลุนิติภาวะก่อนจึงจะมีแฟนได้ เมื่อเสร็จสิ้นการเดินชมวัดศรีมุงเมืองอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทลื้อบ้านลองเหนือแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยไทลื้อบ้านใบบุญ แห่งหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทลื้อบ้านลองเหนือ อันเป็นชุมชนที่ยังคงสืบสานและรักษาประเพณีและวัฒนธรรมของชาวไทลื้อไว้ได้เกือบทั้งหมด ทันทีที่ถึง สิ่งเราที่เราจะได้พบคือขบวนต้อนรับของสาว ๆ วัยเกษียรชาวไทลื้อยืนถือขันเงิน (ขันสลุง) ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อยรอต้อนรับเราอยู่ “อยุ่ดีกิ๋นหวานเจ้า” สาว ๆ พูดพร้อมกับนำใบไม้จุ่มน้ำพรมมือขวาของแขกผู้มาเยือนทีละคน ๆ วิทยากรกล่าวว่า นี่คือคำทักทายและคำอวยพรของชาวไทลื้อ เหมือนกับคำว่า อยู่ดีมีสุข นั่นเอง เมื่อเดินเข้ามายังศูนย์การเรียนรู้ฯ พิธีต้อนรับอีกอย่างหนึ่งของชาวไทลื้อคือการผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญนักท่องเที่ยวโดยเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้าน พร้อมกับการกล่าวให้พรอันคุ้นเคยของชาวเหนือ หากเป็นชาวเหนือที่เติบโตมากับวัฒนธรรมปีใหม่เมืองหรือสงกรานต์ คงจะคุ้นเคยกับพรบทนี้ดีเพราะมักจะดีรับจากญาติผู้ใหญ่ตอนไปดำหัวพวกท่านเสมอ ๆ เมื่อผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญรับพรกันเสร็จแล้ว วิทยากรและเหล่าผู้อาวุโสก็พาพวกเราไปดูกระบวนการทอผ้าแบบดั้งเดิมของชาวไทลื้อ โดยเริ่มตั้งแต่การหนีบฝ้าย การสาวฝ้าย ไปจนถึงการทอผ้าฝ้ายให้เป็นผืนเลยทีเดียว รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการทำด้วย ส่วนสำหรับขาช็อปทั้งหลาย ทางศูนย์การเรียนรู้ฯ ก็มีผ้าที่ทอเสร็จสมบูรณ์แล้วไว้ให้เลือกซื้อเลือกจับจองเป็นเจ้าของหลากหลายผืน แน่นอนว่าถูก ๆ สวย ๆ ทั้งนั้น เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยง เหล่าชาวบ้านลวงเหนือต่างเตรียมอาหารกลางวันมื้อพิเศษไว้ให้แก่ผู้มาเยี่ยมชมทุกท่านแล้ว อันได้แค่ ผัดไทแบบไทลื้อ โสะมะละกอ และ ข้าวแคบ โดยเราจะได้เห็นกรรมวิธีการทำแบบสด ๆ และแน่นอนว่าผู้มาเยี่ยมเยือนทุกท่านสามารถมีส่วนร่วมได้ นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังได้ฝึกทักษะการเข้าครัวไปในตัวด้วยอีกต่างหาก ทุกคนต่างนั่งทานอาหารกลางวันร่วมกัน เคล้าด้วยเสียงกีต้าร์บรรเลงเพลงไทลื้อเพราะ ๆ จากคนในหมู่บ้าน และการขับซอไทลื้อจากทายาทตัวน้อยของผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ฯ สร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้มาเยี่ยมเยือนทุกคนไม่น้อย ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องกลับเสียที แม้ว่าที่ศูนย์การเรียนรู้ฯจะมี Home Stay ให้พัก สำหรับผู้ที่ต้องการค้างคืนเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวไทลื้อในด้านอื่น ๆ ต่อ แต่ด้วยภาระงานที่เส้นตายเริ่มขยับเข้ามาประชิดตัวมากขึ้นทุกขณะ จึงไม่สามารถเปลี่ยน One Day Trip ในครั้งนี้ให้เป็นทริปค้างคืนได้จริง ๆ แม้จะน่าเสียดายสักเพียงไหนก็ตาม