ฉันเคยถามคำถามตัวเองว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาใช้กรรม เกิดมาใช้ชีวิตแล้วตายไปก็แค่นั้นหรือ แต่วันนี้ฉันได้เหตุผลของการเกิดมาอีก 1 ข้อแล้ว ฉันเกิดมาเพื่อเดินทางและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ พลอยเพื่อนรักของฉันโทรมาหาฉันในเย็นโพล้เพล้วันหนึ่งในวันที่ฉันกำลังรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว “ไปม่อนจองไหม” ฉันตอบตกลงแบบคนขาดสติ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนแข็งแรง อึด ถึก ทน อะไรขนาดนั้น และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ในเช้าของวันพฤหัสวันหนึ่ง พวกเรามุ่งหน้าออกจากเชียงใหม่เพื่อไปอำเภออมก๋อยในเวลาตี 4 ถึงตลาดฮอดในเวลาประมาณตี 5.30น. เพื่อซื้ออาหารสดสำหรับปรุงในมื้อค่ำและมื้อเช้าของอีกวัน แล้วจึงมุ่งหน้าไปต่อที่อำเภออมก๋อย พวกเราถึงอมก๋อยเวลาประมาณ 9 โมงกว่า พอไปถึงก็มีรถมารอรับเพื่อไปส่งยังจุดเริ่มเดินทาง เป็นรถกระบะโฟวิล ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าระยะทางไม่ไกล แต่หนทางทรหดมาก ตับไตไส้พุงสั่นคลอนกันเป็นแถบ โชคดีที่ฉันนั่งข้างหน้าจึงไม่ค่อยลำบากมากนัก จนเวลาประมาณ 11 โมงก็ถึงจุดเริ่มเดินสักที แต่จุดพีคของเรื่องก็คือพวกเราลืมเตรียมอาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ เพราะคิดว่าจะไปหากินข้างหน้า แต่โชคร้ายไม่มีร้านค้าขายอะไรให้เราเลยสักร้าน แต่โชคดีที่ฉันกินมื้อเช้ามาเยอะและมีขนมติดมาด้วยนิดหน่อย จึงพอประทังชีวิตมื้อนั้นไปได้ เมื่อถึงจุดเริ่มเดินก็นั่งพักพอหอมปากหอมคอ รอลูกหาบบริเวณนี้หรือถ้าไม่อยากรอก็ทิ้งสัมภาระไว้กับคนขับรถเลย เดี๋ยวลูกหาบจะเป็นคนแบกขึ้นไปที่จุดกางเต็นท์ให้เราเอง เผลอ ๆ เราอาจจะไปถึงช้ากว่าลูกหาบก็เป็นได้ เราหยุดนั่งพักที่จุดเริ่มเดินกันสักครู่ใหญ่ แล้วเริ่มเดินทางประมาณ 11 โมง การเดินทางไม่ค่อยยากลำบากเท่าไหร่นัก จะมีเป็นช่วงที่จะขึ้นเนินหนักมาก แต่เราก็หยุดพักกันบ่อย ๆ สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไปเลยก็คือ น้ำขวดใหญ่ เพราะค่อนข้างคอแห้ง จิบน้ำไปเดินไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเดินหอบแบบกระหาย ระหว่างทางเราก็จะพบเจอคนที่กำลังเดินออกมา พวกเค้าก็จะบอกเราว่า "สู้ ๆ นะ เกือบครึ่งทางแล้ว" ฉันคิดว่าก็เป็นภาพที่น่ารักดีเหมือนกัน ความเป็นคนไทย ถึงแม้ไม่รู้จักกัน แต่เราก็มีรอยยิ้มและกำลังใจให้กันเสมอ ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ก็จะมาถึงจุดที่ชันที่สุดของม่อนจอง มีสองทางเลือกสำหรับการเดินขึ้นไป ก็คือเราจะเดินขึ้นไปบนเนินสูงนั้นหรือจะเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง ถ้าเดินขึ้นไปเราก็จะได้รูปสวย ๆ วิวทุ่งหญ้ากว้างแต่เหนื่อยหรือเราจะไปทางอ้อม ไม่มีทุ่งหญ้าให้เราถ่ายแต่เดินสบาย แน่นอนว่าฉันเลือกเดินทางสบายอย่างไม่ลังเล และแล้วก็มาถึงจุดกางเต็นท์สักทีในเวลาประมาณเกือบเที่ยง เราต้องรีบจับจองหาทำเลกางเต็นท์ โดยจุดกางเต็นท์จะมี 2 จุด คือบริเวณด้านล่างกับด้านบน ถ้าเลือกด้านล่างจะมีห้องน้ำ แต่บอกไว้ก่อนว่าห้องน้ำคือห้องน้ำขุดหลุม แล้วมีผ้าใบกั้นไว้ พยายามว่า "อย่าปวดหนักเด็ดขาด" เพื่อความสบายใจและสุขอนามัยที่ดี ส่วนฉันเลือกกางเต็นท์บริเวณด้านบน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นตัวเลือกและทำเลที่ดีกว่า จากนั้นพวกเราก็กางเต็นท์และเตรียมวัตถุดิบทำอาหารเย็น โดยอาหารเย็นที่พวกเราเตรียมมาก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและผัก โดยน้ำสำหรับล้างต่าง ๆ พี่ลูกหาบจะเป็นคนเตรียมให้และก่อกองไฟให้ ส่วนหม้อ ถ้วย ช้อน เราต้องเป็นคนเตรียมขึ้นไปเอง เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว จากนั้นเราก็เดินไปยังจุดที่เป็นทุ่งหญ้าซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริป ตามที่ทุกคนเคยเห็นในรูปหรือรีวิวต่าง ๆ ซึ่งไม่ไกลจากจุดกางเต็นท์เท่าไหร่ ขอบอกไว้เลยว่าสวยมาก เป็นวิวทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา รู้สึกสัมผัสถึงความนุ่มของหญ้า อยากนอนกลิ้งลงไป ถ่ายรูปมุมไหนก็ดูสวยไปซะทั้งหมด ตรงบริเวณทุ่งหญ้าจะมีลมพัดเย็น ๆ เพราะไม่มีต้นไม้มาบดบัง ฉันรู้สึกคุ้มแล้วที่เดินมาตลอดทั้งวัน เพื่อมาเห็นภาพอันสวยงามนี้ เราถ่ายรูปและเดินชมวิวสักพักใหญ่ ๆ ก็จับจองหาที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าซึ่งเป็นภาพที่เราหามองได้ยากในชีวิตนี้ แสงสีส้มอ่อน ๆ ตัดกับทุ่งหญ้ากว้าง ๆ เป็นภาพที่สวยงามตามากและคงหาดูได้ไม่บ่อยนัก เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็มาทำอาหารที่เราเตรียมไป เป็นมื้อที่อร่อยมากที่สุดในรอบปี เพราะความหิวและเหนื่อย จากนั้นเราก็พูดคุยกันสักครู่ใหญ่แล้วแยกย้ายกันเข้านอน ส่วนตอนกลางคืนที่นั่นก็ค่อนข้างหนาว ฉันเตรียมถุงนอนไป 1 ผืน แต่ก็ยังรู้สึกหนาวที่เท้าอยู่ จึงไปซุกเพื่อนที่นอนอยู่ใกล้ ๆ ขอแนะนำให้เตรียมผ้าห่มผืนเล็กไปอีกสักผืนน่าจะดีกว่า เพื่อนบ้านเต็นท์อื่น ๆ ก็เข้านอนกันไว ตอนกลางคืนค่อนข้างเงียบสงัด ลูกหาบก็จะนอนกับเราแถวนั้น โดยเขาจะจุดกองไฟแล้วนอนใกล้ ๆ กองไฟนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องความอันตราย พอรุ่งเช้า เราก็ต้องทำอาหารกินเองอีกมื้อหนึ่ง โดยเมนูเดิมของพวกเราก็คือต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เต็นท์อื่น ๆ ก็ทยอยกันเก็บของ แล้วแต่ว่าใครอยากถึงข้างล่างเร็วหรือช้า เมื่อกินเสร็จแล้วก็รีบเดินทางกลับก่อนที่แดดจะแรง ระหว่างทางกลับเราก็พบเจอคนที่กำลังเดินขึ้นมา พวกเราก็บอกเค้าว่า "สู้ ๆ อีกนิดเดียว" เหมือนวันที่เราได้รับกำลังใจในวันที่เรามาถึง และแล้วเราก็ลงมาถึงจุดเริ่มต้นในเวลาประมาณ 11 โมง และเดินทางกลับเชียงใหม่