สำหรับสายท่องเที่ยวรรมชาติชอบล่องไปตามป่าเขา ให้จิตใจได้ผ่อนคลาย กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือการเดินเลาะป่าไปชมธรรมชาติบนภูเขาสูง และดอยม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักล่าแต้มดอยสูง ก่อนอื่นขอบอกว่าดอยม่อนจองอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า และแน่นอนว่าไม่ได้เปิดใช้เที่ยวชมกันตลอดทั้งปีนะจ๊ะ ปรกติจะเปิดให้ท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว ส่วนจะเปิดให้เข้าไปท่องเที่ยววันใหนได้บ้างนั้นต้องติดตามข่าวสารจากศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจองอีกที และที่สำคัญจะต้องติดต่อเพื่อจองเข้าไปท่องเที่ยวก่อนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้เข้าไปชมความงามของธรรมชาติ การเดินทางจะต้องเดินทางด้วยรถโฟวิลของชาวบ้านผู้ชำนาญทางพาไปยังจุดเริ่มเดิน ต้องเป็นรถแบบมีคอกให้จับด้วยนะไม่งั้นจะเด้งตกเขาไม่รู้ตัว และอีกอย่างหนึ่งที่เราเตรียมความพร้อมไว้คือเสื้อกันฝนแต่เอามาใส่กันฝุ่น….. การใช้บริการรถของชาวบ้านเป็นการทำให้ชุมชนมีรายได้จากการบริการการท่องเที่ยว รวมถึงการจ้างลูกหาบให้ช่วยแบกของขึ้นไปบนดอยด้วย แต่พอดีเราไปแบบกลุ่มใหญ่ ผู้ชายเยอะรอบนี้จึงไม่ได้ใช้บริการแบกหาบ มาม่าคัพ มันเผา เต็นท์ ถุงนอน น้ำดื่ม ช่วยกันแบกขึ้นไป และมีเพื่อนเป็นเจ้าถิ่นมาเที่ยวบ่อยครั้งมาด้วยเลยไม่ห่วงเรื่องกลัวหลง พอถึงจุดเริ่มเดินต้องทำการไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อขออนุญาตเข้าไปในป่าและคุ้มครองให้แคล้วคราดปลอดภัยก่อน เสร็จแล้วก็หยิบสมบัติที่นักท่องเที่ยวคนก่อนเขาทิ้งไว้ให้ นั้นคือไม้เท้า…. ตอนแรกที่เพื่อบอกให้หยิบก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต้องเอาไม้เท้าไปทำไม ผ่านไป 500 เมตรแรก เข้าใจล่ะ ลำพังขาของเราเอาไม่ขึ้นจริง ๆ ต้องหาไม้มาช่วยยันตัวขึ้นไปด้วย เพื่อนที่คิดว่าจะเป็นคนนำทางให้เรากลายเป็นคนปิดขบวนเพราะกลัวเพื่อนหาย แล้วบอกทุกคนว่า เดินไปตามรอยที่มีคนเดินนี่แหละ ไม่มีหลงแน่นอน ตอนแรกเราก่มีหวั่น ๆ กลัวคนที่นำหน้าจะหลงเหมือนกัน แต่พอเดินไปทางเท้าก็มีทางเดียวจริง ๆ ด้วย เดินช่วงแรกก็หันซ้าย หันขวา ชมธรรมชาติ ชั่วโมงแรกผ่านไป ก้มหน้า พาสังขารขึ้นดอยให้ได้อย่างเดียว ยังดีที่มีน้องที่เดินไปด้วยมีพลังปอดเยอะหน่อยเลยร้องเพลงให้ฟังตลอดทางเหมือนมีวิทยุประจำตัว พอจะทำให้ลืมความเหนื่อยได้หน่อย เพื่อนที่เดินไปก่อนก็จะคอยหันมาถามเจ้าถิ่นว่า “ อีกไกลไหม? ” เจ้าถิ่นของเราตอบว่า “ อีกนิดเดียว ขึ้นไปอีกหน่อย” ถามกันอยู่แบบนี้ตั้งแต่บ่าย 2 ถึง บ่าย 4 พอพ้นเขตป่า เข้าสู่พื้นที่ทุ่งหญ้าที่มีเขามีความสูงชันจนต้องแหงนหน้าหาทางเดิน เพื่อนคนเดิมถาม “ อีกไกลไหม? ” และได้คำตอบเหมือนเดิมว่า “ อีกนิดเดียว ขึ้นไปอีกหน่อย ” ด้วยความเหนื่อยจากเขาชันปนความฮาในตัวของเพื่อนจึงตะโกนกลับไปว่า “ขึ้นไปอีหน่อยก็จะขี่เมฆแล้วนะ” วินาทีนี้ทุกคนหยุดขำฮากันจนจะกลิ้งลงดอยเลยทีเดียว ก็มันชันจริงแหงนมองขึ้นไปเลยหญ้ามันก็ฟ้าเหมือนว่าจะขึ้นไปขี่เมฆได้จริง ๆ ขำพอหายเหนื่อยก็เดินพ้นเนินชันเป็นเนินนมสาว ภูเขาหญ้าสองเนินยังกับบ้านเทเลทับบี้ แวะถ่ายรูปกัน ก่อนจะเดินไปถึงเนินสันเขาที่ทอดยาว และเวลานี้พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดิน บนสันเขามีทุ่งหญ้าสีทองที่มีลมพัดปะทะตัวอยู่ตลอดเวลา ด้านขวาเป็นฝั่งทุ่งหญ้าท้องฟ้ายังสว่างมีพระอาทิตย์เจิดจ้า ด้านซ้ายเป็นฝั่งป่าไม้ท้องฟ้าเริ่มมืดมีพระจันทร์สีนวล ตะวัน-จันทรา อยู่ในระดับที่เท่า ๆ กัน เหมือนหลุดเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่ยิ่งกว่าจินตนาการ ถ้าไม่ใช่ช่วงพระจันทร์เต็มดวงคงไม่ได้เห็นภาพนี้แน่นอน หมุนตัวดูไปเลยสามรอบ พยายามถ่ายรูปแบบพาราโนมามา แต่ได้พระอาทิตย์ก็จะถ่ายไม่ติดพระจันทร์ ช่วงเวลานนี้จึงพยายามเก็บความรู้สึกและความทรงจำมาให้มากที่สุด ก่อนจะเดินไปตามทุ่งหญ้าที่ทอดยาวแล้วเลี้ยวเข้าหุบเขาบังลมที่เป็นจุดกางเต็นท์ พอถึงที่พักก็วางสัมภาระแล้ว น้อง ๆ ก็เข้าป่าไปหาฝืนมาก่อไฟ ต้มน้ำใส่มาม่าและเผามันกินกันก่อนตั้งเต็นท์ (ในส่วนนี้ต้องขอเตือนไว้หน่อย ในป่ามืดมาก การเปิดไฟฉายในเต็นท์เป็นการฉายหนังให้ท่านผู้ชมนอกเต็นท์ดู สาว ๆ ที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าทำธุระข้างในแนะนำให้เพื่อนเปิดไฟฉายส่องจากนอกเต็นท์ให้ดีกว่า) และแน่นอนว่าคืนนี้ทุกคนไม่อาบน้ำ เรื่องการถ่ายหนักถ่ายเบาเขามีห้องน้ำให้นะ แต่น้ำมีน้อยและมีนักท่องเที่ยวใช้บริการเยอะ ทางกลุ่มเราจึงเลือกแบกจอบเข้าป่า เมื่อเพื่อนกลับมาต้องถามด้วยว่าเมื่อกี้ไปทางใหนมาจะได้ไม่ซ้ำรอยกัน พอค่ำ ๆ เข้าไปนอนในเต็นท์แต่ด้วยอากาศที่หนาวเย็นเราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ กัน ประมาณตี 4 เราพากันเก็บของ เตรียมตัวเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หัวสิงห์ จุดที่สูงที่สุดของดอยม่อนจอง พอขึ้นออกมาจากหุบเขา ลมจากสันเขาก็เข้ามาทักทายทันที ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว แต่ที่คุ้มค่ากว่านั้นคือเวลานี้พระจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงดวงดาวที่ออกมาอวดโฉมระยับจับตา 360 องศา ของท้องฟ้ามีแต่ดาว เหมือนอยู่ในสโนว์บอลที่โอบล้อมด้วยดวงดาว (นี่ยังอิจฉาเพื่อนที่ไปช่วงวันที่มีพายุดาวตกอยู่เลย บนนั้นคงเป็นวิวที่สวยสุดที่จะดูดาวตก) จากนั้นเราก็ส่องไฟฉายเดินไปตามสันเขา จากที่หนาว ๆ พอได้ออกแรงเดินก็ร้อนขึ้นมาทันที ไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นที่หัวสิงห์ เมื่อแสงเริ่มจับขอบฟ้า ไม่น่าเชื่อมันคือภาพพื้นหลังของเพาเวอร์พอยต์ของพระอาทิตย์ขึ้น แต่มาเห็นด้วยตาในมุมที่มากกว่า 180 องศานี่เกินคำบรรยายจริง ๆ การเก็บภาพมาไม่เท่ากับสัมผัสด้วยตาทุกอย่างบนดอยม่อนจองมันคุ้มค่ากับการความเหนื่อยที่เดินไปจนถึง พอสายหน่อยเราก็เดินกลับ ขามาว่ายากแล้วแต่ตอนขากลับยากกว่า เดินลงนี่ขาสั่นมาก แต่ที่อึ้งกว่านั้นคือตอนเข้าแนวเขตป่า มีพระวิ่งมาแซงพวกเรา ใส่รองเท้าแตะด้วยนะ จีวรบินกันเลยที่เดียว แล้วท่านก็บอกว่า “ลงแบบนี้นะ” เพื่อนกลุ่มหนึ่งวิ่งตามพระลงไปเลยจร้า จริง ๆ แล้วท่านไม่ได้วิ่งนะ ท่านแค่เดินเร็วแล้วแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยจึงลงไปได้ไว ต้องทำตามท่านถึงจะเข้าใจ ต้องเล็งจุดลงเท้าดี ๆ ด้วยนะ ไม่งั้นมีกลิ้ง ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าพระมาทำอะไรในป่าแต่เพื่อนก็เฉลยว่าเลยหัวสิงห์ไปยังมีหมู่บ้านอยู่ และทางนี้ออกไปในเมื่องง่ายกว่านี่เอง เมื่อถึงจุดเริ่มต้นเราก็คืนไม้เท้าไว้ให้คนอื่นใช้ต่อไป มีรถมารอรับเราก็ขึ้นรถกลับไป ขาออกมีรถสวนเข้ามา นักท่องเที่ยวกลุ่มถัดไปตะโกนถามพวกเราว่า “เป็นไงบ้างสวยไหม?” พวกเราตอบกลับไป “สวยมาก” “ใส่กางเกงขายาวด้วย” “เดินไปให้ถึงนะ” “วิ่งเลย วิ่งเลย” การเดินทางไปดอยม่อนจองครั้งนี้เราไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อน จึงปวดขาที่พาสังขารไป ปวดแขนที่ต้องเกาะโครงรถเขย่าไปมาอีก งานนี้เราจึงต้องพักเป็นผักไป 3 วัน แต่คิดถึงดอยม่อนจองทีไรก็รู้สึกคุ้มค่าจริง ๆ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไปสัมผัสความงามของธรรมชาติบนดอยม่อนจอง ภาพถ่ายโดยผู้เขียน