วรรณกรรม(Literature) เรื่องเล่าของจิตนาการวรรณกรรมชี้ให้เห็นความสำคัญบางประการว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเราชอบ “เสพ” วรรณกรรม แต่เมื่อเราเสพเสร็จแล้ว วรรณกรรมจะยังคงอยู่และรสชาติชวนลิ้มลองเหมือนกับกินอาหาร แต่ไม่เหมือนตรงที่อาหารมีวันหมดไป แต่วรรณกรรมจะยังคงอยู่ วรรณกรรมมาจากคนช่างคิด มาจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายที่บ้าน ที่โรงเรียน จากเพื่อนฝูง และจากถ้อยคำของผู้มีปัญญาที่เฉลียวฉลาดกว่าเรา และจากการเรียนรู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มีไม่น้อยที่ได้มาจากการอ่านวรรณกรรมของคนอื่น และถ้าอ่านดี ๆ ก็จะเหมือนเราได้สนทนากับพวกเขา จะถือได้ว่าเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียวCredit by;https://cdn.pixabay.com/photo/2016/11/29/12/41/desk-1869579_960_720.jpgแล้วความหมายของวรรณกรรมที่แท้จริงคืออะไรกันเล่า แทบจะหาคำใดมาบรรยายเกี่ยวกับวรรณกรรมที่เหมาะสมไม่ได้เลย แต่ถ้าลองนึกดูดี ๆ โดยพื้นฐานแล้ว มันน่าจะหมายถึง “ตัวอักษร” เพราะวรรณกรรมมันเกิดขึ้นมาจากตัวอักษร ที่มาจากจิตวิญาณของมนุษย์ ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นความดีงามที่สุด จนถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุด หรือแม้แต่เรื่องที่ง่ายที่สุด จนถึงเรื่องที่ว่ายากที่สุดรอบๆตัวเรา ชีวิตเรา หรือชีวิตของใคร มันช่วยขยายขอบเขตของจิตใจและความรู้สึกอันระเอียดอ่อน จนมาถึงจุดที่เราสามารถจัดการกับความซับซ้อนต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นCredit by;https://cdn.pixabay.com/photo/2016/05/28/07/06/writer-1421099_960_720.jpgในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 และต้นศตวรรษที่ 16 วรรณกรรมได้ถือกำเนิดของการพิมพ์และการละครสมัยใหม่ จนถือกำเนิดของละครเวทีในอังกฤษยุคแรกเริ่ม รวมทั้ง วิลเลียม เชกสเปียร์ ก็ได้ถือกำเนิดในช่วงศตวรรษนี้ด้วยเช่นกัน ตามที่อริสโตเติล ได้เขียนไว้ “การลอกเลียนแบบเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ตั้งแต่เด็ก และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเลียนแบบมากที่สุดในโลก” ละครจึงถือกำเนิดขึ้นจากส่วนประกอบ หรือการเชื่อมโยงของมนุษย์นั่นเอง ยุคนั้นบนท้องถนนของเมืองต่าง ๆ ในอังกฤษ จึงเต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวาสุด ๆ จนสามารถโลดเล่นต่อไปอีกสี่ศตวรรษถัดมา จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 18 วรรณกรรมรูปแบบใหม่ ๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างมากมาย จนต้องสร้างกฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่พัฒนาควบคู่ไปด้วย เพราะ “งานวรรณกรรม” มันเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ จากการทำงานหนักของผู้ประพันธ์ สิทธิความเป็นเจ้าของจึงถูกเรียกใช้ ตามชื่อเรื่อง เราต้องใช้เวลานับหลายพันปีและเห็นวรรณกรรมจำนวนมากผ่านตา กว่าจะมีผู้ริเริ่มบัญญัติกฎหมายที่ใช้กำกับควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นและปกป้อง เมื่อกฎหมายเหล่านี้ปรากฏขึ้น อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกัน พร้อมทั้งเครื่องจักรและวิธีเผยแพร่ผลงามวรรณกรรมในเชิงพาณิชย์จึงค่อยๆพัฒนาตามมาเช่นกัน จุดเริ่มต้นของวรรณกรรมรูปแบบใหม่นี้ คือ แดลเนียล ดีโฟ และคำเรียก นวนิยายสมัยใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับระบบทุนนิยมในศตวรรษนี้เช่นกัน ความแตกต่าง สืบเนื่องมาจากที่นวนิยายต้นกำเนิดเกิดจากการเล่าเรื่องแบบต่าง ๆ ที่สามารถทำให้เราหลงใหลไม่เบื่อ ซึ่งต่างจากวรรณกรรมอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงแม้จะแตกต่างกันมากแค่ไหน ทั้งสองกลับเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดCredit by;https://cdn.pixabay.com/photo/2019/06/29/05/42/books-4305459_960_720.jpgเมื่อย่างเข้าปลายศตวรรษที่ 19 ภาพลักษณ์ใหม่ของนักเขียนเริ่มจะโดดเด่นมากขึ้น พวกเขาไม่ใช่เพียงผู้ประพันธ์งานอีกต่อไปแต่กลายเป็น “คนดัง” การแต่งกาย พฤติกรรมของพวกเขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดและถูกเลียนแบบ “คำคม” ของพวกเขาถูกนำไปใช้ต่อ ๆ กันไป จนกระทั่งปี 1922 ปีที่เป็นที่สุดของโลกวรรณกรรม เพราะสิ่งที่ถูกตีพิมพ์ในปีนั้น ได้เปลี่ยนความหมายของวรรณกรรมในสายตาของผู้อ่านสาธารณะไปจากเดิม “สไตล์” โดดเด่นก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ จนกลายเป็นกระแสคตินิยมสมัยใหม่และโมเดิร์นนิสม์ หรือจุดกำเนิดแรงบันดาลใจนั่นเองCredit by;https://cdn.pixabay.com/photo/2014/07/01/12/37/kindle-381242_960_720.jpgวรรณกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับวีที่เราอ่านวรรณกรรม ปัจจุบันเราฉลาดกว่าบรรพบุรุษ เมื่อสามศตวรรษที่แล้ว เราไม่ถูกหลอกง่าย แม้จะถูกหลอกเราก็สามารถรู้ได้เองหลังจากนั้นโดยสืบหาข้อมูลจากกูเกิล และหนังสือก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นอีบุ๊คมากยิ่งขึ้น ในศตวรรษที่ 21 ยอมรับเลยว่าศตวรรษนี้ วรรณกรรมเริ่มเฝื่อนไปมาก คุณค่าของวรรณกรรมลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด วรรณกรรมที่ไม่ดีมีเกลื่อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมด จนไม่อาจคาดเดาสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตว่าคืออะไรได้ หากผู้อ่านท่วมทับไปด้วยข้อมูลที่ไม่สามารถก่อเกิดความรู้ได้ ย่อมนับเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง อยู่ที่คุณแล้วว่าจะเลือกเสพวรรณกรรมแบบไหน ถึงแม้รูปแบบการอ่านจะเปลี่ยนไปแต่เนื้อวรรณกรรมที่ดี จะยังคงมีอยู่ข้างในตลอดกาลหน้าปก