วัดผาลาด หรือวัดสกทาคามี เป็นวัดที่อยู่บนแผ่นดินล้านนามาช้านาน ในสมัยราชวงค์เม็งราย ยุคของพระเจ้ากือนา ในช่วงสมัยนั้นได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากสุโขทัยใส่หลังช้างมาเพื่อเสี่ยงทาย สถานที่เพื่อก่อสร้างพระธาตุดอยสุเทพ ช้างที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น ได้เดินทางมุ่งตรงไปทางดอยอ้อยช้าง ทิศตะวันตกของเมือง พระเจ้ากือนาพร้อมทั้งพญาลิไทยจากเมืองสุโขทัย และเหล่าเสนาอำมาตย์ ก็แห่ฆ้อง กลอง ตามหลังช้างไป วัดผาลาด เป็นจุดที่ 2 ที่ช้างมาหยุดอยู่ จึงได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานไว้ ณ ที่วัดแห่งนี้ นับจากในสมัยของพระยากือนา มาถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา 645 ปี บทบาทหน้าที่ของวัดที่มีมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือการทำวัดเพื่อเป็นสถานที่ให้การศึกษาและปฏิบัติธรรม ของผู้คนที่ต้องการแสวงบุญ รวมถึงผู้ที่ต้องการขึ้นไปไหว้พระบรมธาตุดอยสุเทพ และยังเป็นสถานที่ศึกษา และการปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และชาวบ้าน ที่มีความปรารถนาที่จะศึกษาธรรมะมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ พัฒนาการของวัดผาลาดนี้ จะมีเรื่องเล่า อยู่ประมาณ 3 ยุค 1. ยุคแรก ยุคตำนานเรื่องเล่า ได้มีการบอกเล่าว่า วัดผาลาดเป็นวัดที่มีมานานแล้ว วัดแห่งนี้เป็นที่อยู่ของฤๅษี 5 องค์ หนึ่งในฤๅษี 5 องค์ ก็คือ ท่านสุเทวะฤๅษี ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่เดิมเป็นพระสงฆ์ มีอยู่ช่วงหนึ่ง พระอินทร์ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าให้มาโปรดแสดงธรรมให้แก่ผู้คนล้านนา พระพุทธองค์ก็ได้มาโปรดฤๅษีและได้มาแสดงธรรม ณ วัดผาลาดแห่งนี้ หลังจากที่ได้แสดงธรรมแล้ว ฤๅษีทั้ง 5 องค์ ก็ได้กราบขออนุญาตลาสิกขากับพระองค์ พระพุทธองค์จึงสอบถามกับฤๅษีทั้ง 5 ว่ามีเหตุผลใดที่ต้องการลาสิกขา ฤๅษีทั้ง 5 ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า เนื่องจากได้อยู่กับชนเผ่า ซึ่งชนเผ่าเหล่านี้ยังมีความเคารพนับถือ ประเพณี ภูมิปัญญาของท้องถิ่นอยู่ ซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างที่ชาวบ้านต้องพึ่งพานักบวช ผู้นำทางสติปัญญา และมองว่าการครองเพศเป็นพระนั้น ลำบาก จึงขอกราบลาสิกขาเพื่อกลับไปเป็นฤๅษีดังเดิม พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต หลังจากนั้นท่านสุเทวะฤๅษีได้ฟังเทศของพระพุทธองค์เสร็จแล้ว ท่านก็ขอพระพุทธองค์ได้ไปโปรดพ่อกับแม่ของท่านด้วย ซึ่งก็คือปู่แสะ ย่าแสะ ยักษ์ซึ่งเป็นอารักษ์ของเมืองเชียงใหม่ พระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จไปโปรดปู่แสะที่ตีนพระธาตุดอยสุเทพ ที่บริเวณกาแล และก็เสด็จไปโปรดย่าแสะ ที่ตีนพระธาตุดอยคำ จึงกลายเป็นตำนานของเชียงใหม่มาจนถึงปัจจุบัน 2. ยุคที่สอง คือยุคของราชวงค์เม็งราย ในการสร้างพระธาตุ สร้างบ้านสร้างเมือง ซึ่งเป็นยุคที่ได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากสุโขทัย ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น 3. ยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ได้มีการฟื้นฟู วัดผาลาด ไม่ได้ในฐานะที่เป็นวัด ในฐานะที่เป็นสถานที่ฟื้นฟูจิตวิญญาณที่ดีงามของผู้คน โดยมีเจตนารมณ์ของการฟื้นฟูในครั้งนี้ว่า หนึ่ง จะต้องรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมไว้ให้ดีที่สุด จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันวัดผาลาด เป็นวัดที่มีความร่มรื่น และต้นไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก สอง รักษาโบราณสถาน ซึ่งเป็นมรดกทางภูมิปัญญา ที่บรรพชนได้สร้างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุ วิหาร รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นมรดกที่สืบทอดมาช้านาน สาม สานต่อเจตนารมณ์ เพื่อให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ศึกษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นที่เข้าหาธรรมะ ของพระพุทธเจ้า และทางแห่งการขึ้นดอยสุเทพนั้น ในสมัยโบราณนั้น มีจุดที่ช้างหยุดอยู่ 4 จุดคือ 1. บริเวณสามยอบ (วัดโสดาบัน หรือวัดศรีโสดา) 2. ผาลาด (วัดผาลาด หรือวัดสกทาคามี) 3. ม่อนพญาหงส์ (วัดม่อนพญาหงส์ หรือวัดอนาคามี) 4. ดอยสุเทพ (วัดพระธาตุดอยสุเทพ หรือวัดอรหันต์) ที่ 4 จุดนี้ พญาลิไท ซึ่งเป็นพระสหายของพระเจ้ากือนา ได้ให้ข้อคิดเห็นแก่พระเจ้ากือนาว่า ในการเดินทางขึ้นดอยนั้น ขนาดช้างยังหยุดเพื่อพักเหนื่อย คนที่เดินขึ้นดอยก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน เราควรจะสร้างที่พักริมทางไว้ให้ผู้คนได้พัก แต่แทนที่จะเป็นที่พักนั้น พญาลิไท จึงดำริว่าบอกกับพระเจ้ากือนาว่า คนที่เดินทางสู่วัดพระธาตุ เหมือนกับได้เดินทางเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติธรรม เดินทางจากบ้านจากเมืองมา จนถึงวัดสามยอบ ก็เหมือนได้บรรลุโสดาบัน พอเดินทางมาถึงวัดผาลาดก็เหมือนได้บรรลุธรรมขั้นที่สองคือสกทาคามี พอเดินทางไปถึงวัดม่อนพญาหงส์ ก็เหมือนได้บรรลุธรรมขั้นที่สามคือ อนาคามี ถ้าใครมีความเพียรพยายามเดินไปจนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เหมือนได้บรรลุพระอรหันต์ ดังนั้นเส้นทางแห่งการขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ จึงไม่ใช่เส้นทางของการเดินทางเพื่อไปไหว้พระธาตุเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อให้คนนั้นเข้าสู่อารยธรรมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นนัยยะสำคัญ ครูบาศรีวิชัยได้อาศัยภูมิปัญญา ที่คนโบราณได้สร้างขึ้นนี้ ตอนที่ท่านได้สร้างทางเส้นใหม่ ขึ้นพระธาตุดอยสุเทพนี้ ครูบาศรีวิชัยท่านก็ได้เอาแนวคิดนี้ ได้เชิญชวนศรัทธา ญาติโยม จุดแรกที่ลงจอบเป็นที่แรก ครูบาฯ ได้เริ่มที่วัดสามยอบ หรือวัดโสดาบัน (ปัจจุบันชื่อ วัดศรีโสดา) เลยขึ้นไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็เป็นวัดผาลาด (วัดสกทาคามี) ถัดขึ้นไปอีก 4 กิโลเมตร ก็เป็นวัดอนาคามี และขึ้นไปอีก 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นยอดดอย ให้เป็นวัดอรหันต์ (วัดพระธาตุดอยสุเทพ) ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่โบราณ ที่ตั้งวัดผาลาด 101 บ้านห้วยผาลาด หมู่ 1 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ การเข้าเดินทางไปวัดผาลาด วัดผาลาด ตั้งอยู่ติดถนนห้วยแก้วอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ โดยห่างจากประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประมาณ 5.5 กิโลเมตร สามารถเดินทางได้สองทางคือทางรถ สามารถเข้าถึงวัดได้โดยสะดวก เมื่อเดินทางถึงป้ายหน้าวัดที่ติดถนนให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปตามทางประมาณ 200 เมตร จึงจะถึงตัววัด และอีกเส้นทางคือการเดินเท้าจากสถานีส่งสัญญาณช่อง 7 เดินลัดเลาะไปตามทางเดินจนบรรจบถึงบริเวณน้ำตกวัดผาลาด ภาพถ่ายโดยผู้เขียน