จากโจทย์ที่อยากหนีความวุ่นวาย ซัก 2-3 วัน โดยเงื่อนไขคือ ต้องเป็นที่ ที่ผมยังไม่เคยได้เอาเท้าไปสัมผัสมาก่อน "สะเมิง" จึงเป็นตัวเลือกนึงในการเดินทางครั้งนี้ เมืองเล็กน่ารักของเชียงใหม่ ที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีของท้องทุ่ง ผมจองที่พักโดยไม่ได้วางแผนเรื่องการท่องเที่ยวระหว่างเข้าพักเลย เพราะความตั้งใจเดิมคือปลายทางที่ "ม่อนแจ่ม" แต่ผมได้เพิ่มวันหยุด และเติมสะเมิงเข้าไปในวันแรกของการเดินทาง (ที่พักในทริปนี้คือ หลองข้าวสะเมิง) ทริปนี้จึงมีเวลาเพิ่มมา ถึง 4วัน 3คืน หลังจากลงเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ รถที่เช่าไว้ใช้ระหว่างทริปถูกนำมาส่งที่สนามบิน ผมได้ตระเวนไหว้พระตามวัดต่างๆ แล้วตรงไปยังที่พักทันที ตั้งใจว่าเมื่อถึงแล้วค่อยวางแผนเที่ยวบริเวณรอบๆ แต่เอาเข้าจริง เมื่อไปถึงหลังเช็คอินเสร็จ เราใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะเดินเข้าไปบ้านพัก ด้วยอาจเป็นเพราะวิวตรงหน้า เพราะทุ่งข้าวเขียวๆ เพราะดอกไม้หลากสี เพราะน้องหมาที่น่ารักที่เดินตามมา และ เพราะอะไรต่อมิอะไร ที่ทำให้เราลืมความรีบร้อนไปเสียหมด แผนการท่องเที่ยวต่างๆ ที่คิดจะทำเมื่อมาถึงก็หายไป ในทันทีที่ได้นั่งลงตรงชานหน้าบ้านพักแล้วมองออกไปรอบๆ บริเวณ ราวกับความตั้งใจในการออกไปเที่ยวค่อยๆ ละลายไปกับบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้า ความสงบ มา บรรจบกับสมองที่เหนื่อยล้า ด้วยเวลาเพียง ชั่วโมงกว่าๆ จากตัวเมืองเชียงใหม่ ผมเชื่อว่า ใครหลายคนคงเคยไปเชียงใหม่กันมาบ้างแล้ว บางคนอาจจะหลายครั้งเสียด้วย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีความโปรดปรานในแต่ละสถานที่เหมือนกัน สำหรับผมแล้วนั้น มันคุ้มค่ามาก กับการตัดสินใจเลือกแทรก "สะเมิง" ให้เป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในการเดินทาง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนผมก็เจอแต่สีเขียวสบายตา ฟ้าผืนกว้าง มีภูเขาเป็นฉากรับ ตัดกับสีเขียวสดเบื้องล่าง สิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่ได้แบบไม่ขัดเขินกับธรรมชาติโดยรอบ หากดวงตาซ้ายขวาทำหน้าที่บันทึกภาพได้เหมือนการทำงานของกล้องถ่ายรูปมันคงจะดี เพราะหากคุณได้เห็นในสิ่งที่ตาผมเห็นคุณจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ผมบรรยาย มันไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด บ้านเรือนอาจถูกปลูกสร้างและปรุงแต่งได้อย่างใจเรา แต่ความงามของธรรมชาติกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น .. ฟ้าเริ่มมืด ด้วยกลุ่มเมฆครึ้ม ลมเริ่มพัดต้นข้าวให้พริ้วไหวราวกับมันเต้นไปตามจังหวะเพลงที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราไม่อาจได้ยินหรือเข้าใจ คงมีเพียงเสียงลมและเม็ดฝน ที่กำลังค่อยๆหล่นลงมาเท่านั้น ผมนั่งมองเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงสระบัวขนาดย่อมที่หน้าชานพัก มันเพิ่มปริมาณและความแรงขึ้นจนไม่อาจหลบพ้นจากละอองของมันได้ จึงจำต้องเอาตัวเองเข้าไปนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงแล้วฟังเสียงฝนกระทบหลังคาจนหลับไปในที่สุด นี่ถือเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ครั้งในรอบปีที่หลับไวและหลับลึกขนาดนี้ เช้าแรกของการตื่นนอนที่นี่ มันสดชื่นมากอย่างอธิบายไม่ถูก ความชื้นมีอยู่ในทุกอณูของอากาศที่หายใจ หมอกจางๆ ยังเกาะอยู่ที่ภูเขา ในระดับต่ำพอที่ผมจะแอบจินตนาการไปได้ว่า พวกมันอาจจะถ่วงเวลารอผมตื่นมาดูระหว่างทางที่จะเดินไปทานมื้อเช้าก็เป็นได้ วันนี้ได้มีเวลาพูดคุยกับคุณป้าผู้ดูแลที่พัก นั่นทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ทุกนาทีที่ได้คุยกับแก มันเหมือนเราได้นั่งคุยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ใจดีท่านนึง สมแล้วที่ได้แกมาเป็นผู้ดูแลที่นี่ และมันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้ที่มาพัก อยากกลับมาอีก ซึ่งผมก็กลายเป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้นเสียแล้ว การเดินทางคงปราศจากความหมาย หากเรามัวแต่เร่งเท้าไปให้ถึงจุดหมาย โดยไม่หยุดแวะทำความรู้จักหรือชื่นชมกับสิ่งต่างๆที่อยู่ระหว่างเส้นทางบ้างเลย * บทความนี้เป็นเพียงบันทึกอารมณ์จากการเดินทางของผู้เขียนเท่านั้น ไม่ได้เป็นการทำรีวิวที่พักจากผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์ * Credit ภาพ ภาพปก พร้อมภาพประกอบที่ 1-4 โดยผู้เขียน ภาพสุดท้าย โดย Theerawut Meechana (ผู้ร่วมเดินทาง)