"น้องหมา" เป็นสัญลักษณ์ประจำ "ปีจอ" ซึ่งเป็นชื่อปีที่ 11 ของรอบปีนักษัตร [1] ภาพรูปปั้นน้องหมา นักษัตรปีจอ ที่มีคนนำหน้ากากผ้ามาสวมให้ โดยรูปปั้นนักษัตรนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ (ภาพซ้าย) และน้องหมาจริงๆ ด้านหน้ากุฏิท่านเจ้าอาวาส วัดเกตการาม เชียงใหม่ (ภาพขวา) ล้านนา[2] มีความเชื่อเรื่องพระเจดีย์ประจำปีนักษัตรเกิด (สำนวนล้านนาเรียกว่า พระธาตุประจำปีเกิด) ว่า ก่อนที่จะปฏิสนธิในโลกมนุษย์ จิตวิญญาณของแต่ละคน จะมาสถิตที่พระเจดีย์ประจำปีนักษัตรเกิดของตน และเมื่อเกิดมาแล้ว ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะไปกราบไหว้สักการะพระธาตุประจำปีนักษัตรเกิด อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต[3] สำหรับคนที่เกิดปีจอ หรือ ปีหมา (ล้านนาเรียกปีจอว่า "ปีเส็ด", เรียกคนที่เกิดปีจอว่า "เพิ่งหมา" ออกเสียงว่า "เปิ้งหมา" แปลว่า พึ่งหมา/อาศัยหมา ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์ประจำปีนักษัตรเกิดของตนนั่นเอง) ก็เช่นกัน จิตวิญญาณจะสถิต ณ พระเจดีย์ประจำปีเกิดของตนก่อน นั่นก็คือ พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งประดิษฐาน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ [4] (ดูชื่อเจดีย์ประจำปีนักษัตรอื่นๆที่เชิงอรรถข้อ 3) พระจุฬามณีเจดีย์ (= พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์) หมายถึง พระเจดีย์ที่บรรจุพระจุฬา (จุกผม) และเมาลี/โมลี (มวยผม) ของเจ้าชายสิทธัตถะ ครั้งเมื่อทรงเสด็จมหาภิเนษกรมณ์ (ออกผนวช) ทรงตัดพระจุฬา (จุกผม) พร้อมพระเมาลี/โมลี (มวยผม) แล้วขว้างไปในอากาศ ขณะนั้น ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) นำผอบแก้วมารองรับเอาไปประดิษฐานในพระเจดีย์จุฬามณี ในอรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ [4] เล่ารายละเอียดถึงตอนนี้ไว้ว่า ...พระโพธิสัตว์ทรงรวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลี อธิษฐานว่า ถ้าเราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ผมนี้จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่เป็นไซร้ ก็จงหล่นลงเหนือพื้นดิน แล้วเหวี่ยงไปในอากาศ กำพระจุฬามณีนั้น ไประยะประมาณโยชน์หนึ่ง (ประมาณ 16 กิโลเมตร) แล้วก็ตั้งอยู่ในอากาศ. ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูด้วยจักษุทิพย์ ทรงเอาผอบรัตนะขนาดโยชน์หนึ่ง (ประมาณ 16 กิโลเมตร) รับกำพระจุฬามณีนั้น แล้วทรงสถาปนาเป็นพระจุฬามณีเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ 7 ประการ ขนาด 3 โยชน์ (ประมาณ 48 กิโลเมตร) ไว้ในภพดาวดึงส์... ภาพเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดพระจุฬาเมาฬีแล้วขว้างไปในอากาศ (ที่มาภาพ: http://www.saraniya.com/books/thelifeofbuddha/life-of-buddha-08.jpg) อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ประดิษฐานภายในพระจุฬามณีเจดีย์ก็คือ “พระทาฐธาตุ หรือ พระเขี้ยวแก้ว” ซึ่งท้าวสักกะเทวราช ได้มานำเอาพระทาฐธาตุเบื้องขวา ที่โทณพราหมณ์ซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ ใส่ผอบทอง และนำมาบรรจุในจุฬามณีเจดีย์คู่กับพระจุฬาโมลี[5] พระจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น มีรูปร่างสัณฐานที่ใหญ่โต ในอรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์[4] ระบุว่าความสูงของพระจุฬามณีเจดีย์ 3 โยชน์ (ราว 4,800 เมตร) ส่วนในไตรภูมิพระร่วง[6] ระบุว่าสูง 80,000 วา (ราว 160,000 เมตร)[7] พระจุฬามณีเจดีย์สร้างด้วยแก้วอินทนิล ยอดพระเจดีย์สำเร็จด้วยทองคำ ประดับด้วยรัตนะคือแก้ว 7 ประการ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง แต่ละด้านยาว 160,000 วา (ราว 320,000 เมตร) กำแพงนั้นประดับด้วยธงทิวสีต่างๆ อย่างงดงาม เป็นต้นว่า ธงปฏาก ธงชัย ประดับด้วยเงินก็มี ทองก็มี และมีสีสันที่หลากหลาย เช่น ดำ, แดง, เหลือง, ขาว, และเขียว มีเทวดาทั้งหลายมาบรรเลงดุริยางค์บูชาพระเจดีย์ และมานมัสการพระเจดีย์ทุกวัน พร้อมนำข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องหอม ประทีป ไปบูชา รวมถึงกระทำประทักษิณรอบพระเจดีย์เสมอ[4, 6] โดยเฉพาะท้าวสักกะเทวราชทรงศรัทธาพระจุฬามณีเจดีย์อย่างมาก ทรงเสด็จมาสักการะเนืองๆ[8] ภาพจิตรกรรมพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในยุคสมัยต่างๆ คนล้านนาเชื่อว่า พระเจดีย์ของวัดเกตการาม อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุที่ประดิษฐาน "พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า" แต่เดิมเรียกพระธาตุองค์นี้ว่า พระเกศแก้วจุฬามณี (จารึกของวัดเกตการามเรียก “พระเกสธาตุ”) และถือว่าเป็นองค์แทนพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในประวัติของวัดระบุว่า วัดเกตการาม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1971 รัชสมัยของพระเจ้าสามฝั่งแกน กษัตริย์ราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ พ.ศ. 1954 - 1985) [9] ส่วนพระเจดีย์องค์นี้ พระยาเมือง พระยาคำ และบริวารทั้งหมด 2,000 คน เป็นผู้ก่อสร้าง ตามจารึกวัดเกตการามระบุว่า มีการฉลองพระเจดีย์ ในปี พ.ศ. 2124 [10] ครั้นเมื่อพระธาตุทรุดโทรมลง พระเจ้าเชียงใหม่ มังนรชาฉ่อ (นรธาเมงสอ, สาวถีนรตรามังซอศรีมังนรธา, ครองราชย์ พ.ศ. 2121 – 2150 [9, 10, 11]) ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์พระธาตุ ในช่วงปี พ.ศ. 2121 – 2125 [9] พระเจดีย์องค์ประธาน (องค์ใหญ่สีขาวและประดับด้วยกระจกหลากสีบริเวณยอด, ภาพซ้าย) และพระเจดีย์บริวาร (องค์เล็กประดับด้วยกระจกหลากสีทั้งองค์ อยู่ทั้ง 4 มุมของเจดีย์องค์ประธาน, ภาพขวา) พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ วัดเกตการาม เชียงใหม่ ซึ่งสันนิษฐานว่ารับแนวคิดมาจากพระไตรปิฎกที่ว่าจุฬามณีเจดีย์บนดาวดึงส์นั้นประดับด้วยรัตนะ คือแก้ว 7 ประการนั่นเอง ความแปลกของพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ วัดเกตการาม หากสังเกตส่วนยอดจะพบว่ามีความเอียงให้เห็นปรากฏ ซึ่งไม่พบในลักษณะของพระเจดีย์อื่นๆทั่วไป สันนิษฐานว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้าง เพื่อไม่ให้ยอดพระธาตุชี้ตรงกับองค์จริงบนสวรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นการไม่สมควร ดังตามประวัติของวัดอักษรธรรมล้านนาระบุเป็นภาษาล้านนาว่า "...พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ถือเป็นการจ่ำลอง (จำลอง) พระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นตาวติงสา มาไว้ในโลกมนุษย์ ดั่งอั้นจิ่งสร้างหื้อยอดพระธาตุเหงี่ยง (ดังนั้นจึงสร้างให้ยอดพระธาตุเอียง) เพื่อบ่หื้อยอดชี้ขึ้นไปทัดกับองค์ที่อยู่บนสวรรค์เพราะถือว่าเป็นการบ่สุภาพ (เพื่อไม่ให้ยอดชี้ขึ้นไปตรงกับองค์ที่อยู่บนสวรรค์เพราะถือว่าเป็นการไม่สุภาพ)..." แผ่นป้ายประวัติวัดเกตการาม อักษรธรรมล้านนา ข้อความที่ขีดเส้นใต้ ระบุสาเหตุที่ยอดพระธาตุเอียง และอีกหนึ่งความแปลกที่สังเกตเห็นได้ในห้วงเวลานี้ก็คือ มีการนำหน้ากากผ้า (mask) สวมให้กับรูปปั้นสุนัขที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางขึ้นของพระธาตุ นับเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่บันทึกช่วงขณะประวัติศาสตร์ว่า ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง (ปลาย พ.ศ. 2562 – 2563) โลกของเราได้ประสบกับโรคระบาดโควิด-19 (Covid-19) และทุกสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ ต่างได้รับผลกระทบไม่น้อยหน้ากัน ไม่เว้นแต่น้องหมาที่เฝ้าพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์! บรรยากาศยามเย็น ณ วัดเกตการาม เชียงใหม่ (ภาพอุโบสถ) ลวดลายด้านหน้าอุโบสถ วัดเกตการาม เชียงใหม่ ลวดลายเทวดาทวารบาล ประตูอุโบสถ วัดเกตการาม เชียงใหม่ ศิลปะครุฑยุดนาค มีรายรอบพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ทั้ง 4 มุม วัดเกตการาม เชียงใหม่ แสงอาทิตย์ยามเย็น สะท้อนศิลปะกระจกที่ประดับด้านหลังวิหาร วัดเกตการาม เชียงใหม่ ส่งท้ายด้วยภาพบุญทิ้ง แมวหนุ่มช่างพูด, 1 ใน 3 แมวหนุ่มประจำถิ่น ซึ่งประกอบไปด้วย บุญทิ้ง, สีหมอก, และเจ้าเสือ เชิงอรรถ [1] ปีนักษัตร อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD [2] “ล้านนา” เป็นอาณาจักรของชนกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” กลุ่มหนึ่ง [ไทยวน(ส่วนใหญ่) ไทลื้อ ไทขึน] ซึ่งเป็นชาติพันธุ์เดียวกันกับชาวสยามและชาวล้านช้าง ที่มีภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นของตนเอง โดยพระเจ้ามังรายมหาราช (ไทยวน) ปฐมกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์มังราย ทรงสร้างและรวบรวมหัวเมืองต่างๆ ไว้ในอำนาจ มาจนกระทั่งสถาปนาเมืองเชียงใหม่ราชธานี เมื่อ พ.ศ. 1839 [a] จนกระทั่งปี พ.ศ. 2101 ได้เสียเอกราชให้แก่พม่า[b] และต่อมาในปี พ.ศ. 2317 ผู้นำท้องถิ่นล้านนา (พระราชวงศ์เชื้อเจ็ดตน) ได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี และสามารถขับไล่พม่าออกไปได้ หลังจากนั้นประเทศล้านนาจึงมีฐานะเป็นประเทศราชของประเทศสยาม มาจนถึงปี พ.ศ. 2442 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้จัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล จึงยกเลิกเมืองประเทศราชลง[c] เขตพื้นที่ที่เรียกว่า “ล้านนา” ในปัจจุบัน หมายถึง 8 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย คือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน[d] [a] สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 9. (กรุงเทพมหานคร, สำนักพิมพ์อมรินทร์, 2555). หน้า 119 – 124. [b] เรื่องเดียวกัน, หน้า 253. [c] เรื่องเดียวกัน, หน้า 312. [d] อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. วัดร้างในเวียงเชียงใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. (เชียงใหม่, สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, 2539). หน้า 1. [3] บทความของ สนั่น ธรรมธิ เผยแพร่ในเพจ ล้านนาสาระ ลงวันที่ 17 พ.ค. 2562 โดยพระเจดีย์ประจำปีเกิดชาวล้านนาเรียกว่า พระธาตุ ซึ่งแต่ละปีนักษัตรระบุพระธาตุประจำปีเกิดไว้ ดังนี้ พระธาตุจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ สำหรับคนเกิดปีชวด, พระธาตุลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง สำหรับคนเกิดปีฉลู, พระธาตุช่อเเฮ อ.เมือง จ.แพร่ สำหรับคนเกิดปีขาล, พระธาตุแช่เเห้ง อ.เมือง จ.น่าน สำหรับคนเกิดปีเถาะ, พระธาตุพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สำหรับคนเกิดปีมะโรง, พระเจดีย์มหาโพธิ์ ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สำหรับคนเกิดปีมะเส็ง, พระธาตุตะโก้ง (ชเวดากอง) ประเทศพม่า สำหรับคนเกิดปีมะเมีย, พระธาตุดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สำหรับคนเกิดปีมะเเม, พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม สำหรับคนเกิดปีวอก,พระธาตุหริภุญไชย อ.เมือง จ.ลำพูน สำหรับคนเกิดปีระกา, พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สำหรับคนเกิดปีจอ, และพระธาตุดอยตุง อ.เเม่สาย จ.เชียงราย สำหรับคนเกิดปีกุน [4] อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ โคตมพุทธวงศ์ สืบค้นออนไลน์ได้ที่ https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.2&i=26&p=2 [5] อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร สืบค้นออนไลน์ได้ที่ https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67&p=5 [6] กรมศิลปากร.ไตรภูมิกถาฉบับถอดความ. (________,________, 2555). หน้า________. สืบค้นออนไลน์ได้ที่ https://vajirayana.org/ไตรภูมิกถาฉบับถอดความ/บทที่-๖-แดนสวรรค์ชั้นฉกามาพจร [7] คำนวณโยชน์เป็นหน่วยกิโลเมตร อ้างอิงบทความของ ชมรมธัมมปาลิสิกขา สืบค้นออนไลน์ได้ที่ http://dhammapalisikkha.blogspot.com/2013/10/blog-post_6032.html [8] อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มัญชิฏฐกวรรคที่ 4 ปีตวิมาน สืบค้นออนไลน์ได้ที่ https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=47&p=1 [9] แผ่นป้ายประวัติของวัดเกตการามและพระเจดีย์ ตั้งอยู่ข้างเจดีย์ภายในวัด [10] จารึกวัดเกตการาม จากฐานข้อมูลของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) สืบค้นออนไลน์ได้ที่ https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/1455 และอ่านคำจารึกที่ https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/1457 [11] อ้างอิงวิกิพีเดีย สืบค้นออนไลน์ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/นรธาเมงสอ