เคยได้ยินไหมครับว่า "คำหนึ่งคำอาจจะพาเราไปไกลแสนไกล การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากคำสั้น ๆ อย่าง "ว่างจัง" ที่ผมได้ยินจากรุ่นน้องของผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับความว่างตอนนี้ของเราทั้งสองคน อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ยังไม่กลับมาเข้าที่ดีนัก เราจึงคิดว่าจะไปเที่ยวบนดอยกัน แต่เมื่อค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในหลาย ๆ แห่ง ก็พบว่ามีคนที่คิดแบบเรามากมายเต็มไปหมด "อยากไปที่ที่เงียบ ๆ มากกว่า" ผมเอ่ยขึ้น ในจังหวะเดียวกันกับที่สายตาไปสะดุด กับภาพที่มองเห็นวิวทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาภาพหนึ่ง ซึ่งพอเอาชื่อสถานที่นั้นมาค้นหา ก็พบว่ามันยังไม่แมสเท่าไหร่เลย ดูท่าคนจะไม่ค่อยไปกัน เราไม่รอช้าทันที หลังจากค้นหา และ ตั้งเป้าหมายลงบนแผนที่ เราก็เริ่มเดินทางออกไปยัง "ม่อนล่อง" ทันที พวกเราเดินทางจากลำพูน โดยเลือกใช้เส้นทางหลักอย่าง ถนน ลำปาง - เชียงใหม่ ไปเลี้ยวขวาตรงไปทางแม่ริม อันเป็นเส้นทางเดียวกันเลยกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง "ม่อนแจ่ม" "คนมันจะเยอะไหมเนี่ย" ผมคิดแบบนี้ไปตลอดทางที่ขับเจ้าสองล้อคู่ใจ เคลื่อนผ่านสองข้างทางที่ยังคงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ในขณะที่แผนที่นำทางของเรา ขานบอกว่าเหลือระยะทางอีกเพียงแค่ 20 กิโลเมตรเท่านั้น ก็จะถึงที่หมายแล้ว "ม่อนล่อง" เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดใน อำเภอแม่ริมครับ อยู่เส้นทางเดียวกันกับ "ม่อนแจ่ม" เลย แต่ต้องเลี้ยวขวาตรงร้าน "เอเดน" ก่อนจะถึงทางขึ้นไปยัง "ม่อนแจ่ม" ครับ พอระยะทางเริ่มแปรเปลี่ยนจากตึกสูง กับ ตึกรามบ้านช่องสีหม่น กลายเป็นต้นไม้สูงสลับซ้อนไปมา มันทำให้ความว้าวุ่นใจค่อย ๆ ลดลง จำนวนของรถที่สวนทางเราเริ่มน้อยลง เสียงน้ำไหล เสียงลมลู่ผ่านใบไม้ มันชวนให้ใจสงบจริง ๆ ระหว่างทางเราผ่านน้ำตกเล็ก ๆ เราจึงถือโอกาสแวะเก็บภาพ และ ใช้มันเป็นจุดพักรถของเราครับ หลังจากพักผ่อนจนพอแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังเป้าหมายของเรา ต้องยอมรับว่าทางค่อนข้างยากจริง ๆ ครับ สำหรับรถมอเตอร์ไซด์ ที่เป็นออโต้พร้อมคน 2 คนแบบนี้ ช่วงจังหวะทางหลักนั้นยังสบาย แต่พอเลี้ยวแยกเพื่อจะมา "ม่อนล่อง" นั้น ทางก็ชันมากขึ้น จากทางลาดยาง ก็กลายเป็นดินแดง มีหลายจังหวะเลยครับที่ผมต้องลงเดิน เพื่อให้เรานำไปก่อน เพราะมันไม่สามารถพาคนขึ้นไปพร้อมกัน 2 คนได้ เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะมานะครับ แนะนำเป็นรถที่มีเกียร์ และ ไม่ค่อยแนะนำรถยนต์เท่าไหร่ครับ เพราะทางค่อนข้างแคบต้องใช้ฝีมือและความระมัดระวังอย่างสูงทีเดียวครับ เมื่อเราขึ้นมาถึง "ม่อนล่อง" ที่นี่ก็สงบอย่างที่คิดจริง ๆ ครับ เพราะนอกจากเราสองคนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย ผมแปลกใจมากจริง ๆ เพราะอีกไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้นเราก็จะถึง "ม่อนแจ่ม" แล้ว แต่ที่นั่น จำนวนผู้คน กับ ต้นไม้นั้นไล่เลี่ยกันเลย แต่ที่นี่กับเงียบสงบมากอย่างมากเลย ผมนั่งลง สายตามองออกไปยังทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า แล้วเริ่มคิดกับตัวเอง เหมือนที่ทำทุกครั้งเวลาได้ไปเที่ยวบนดอยสูง เราทุกคนเจอสถานการณ์ที่ไม่ปกติกันในช่วงนี้ จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ใจเรามันว้าวุ่นไปหมด ความสับสนต่ออนาคตที่ไม่รู้จะเป็นไปในทิศทางไหนห้อมล้อมเราอยู่ในทุก ๆ ขณะ แต่ความจริงแล้ว ความสงบ ก็อยู่ไม่ไกลจากเราเช่นกัน ผมนั่งคิดได้ว่า จริง ๆ ความสงบ อาจจะ เป็นเพื่อนสนิทกับความวุ่นวายด้วยซ้ำ มันอาจจะไม่ได้อยู่ไกลจากกันเลย แค่เรามัวแต่มองความวุ่นวายเท่านั้นเอง เรานั่งอยู่ที่ "ม่อนล่อง" จนเริ่มจะค่ำ เพราะไม่ชินทาง และ ทางค่อนข้างยาก จึงต้องรับกลับก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท แต่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยว แม้จะกลับไปแล้ว กลิ่นไอของสถานที่นั้น ๆ จะยังคงกรุ่นอยู่ในใจเราเสมอ ความสงบในครั้งนี้เอง ก็เช่นกันมันจะเงียบ และ ตรึงอยู่ในใจผมไปตลอด เพราะที่นี่สอนให้ผมรู้ว่า "ความสงบมันซ่อนอยู่ในซอกหลืบของความวุ่นวายที่เราเจออยู่ทุกวันนั่นแหละ" เราจบทริปลงด้วย บะหมี่เกี๊ยวต้มยำ ระหว่างทางลง เพื่อคลายความหนาวเย็นของสภาพอากาศ ใครที่มา "ม่อนแจ่ม" หรือ "ม่อนล่อง" ก็ลองแวะมาชิมได้ครับ ราคาไม่แพง แถมอร่อยด้วย ขอบพระคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ หวังว่าทุกคนจะรับรู้ถึงสิ่งที่ผมต้องการสื่อได้ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าอยากจะไปสัมผัสด้วยตัวเอง ก็ไปตามแผนที่นี้ได้เลยครับ กดตรงนี้ อย่าลืมเช็คสภาพรถก่อนขึ้นนะครับ เครดิตภาพทั้งหมด จาก ผู้เขียนเอง