ไปเชียงใหม่ ไปทำอะไรดี ไปให้ธรรมชาติโอบกอดหรือเราจะวิ่งเข้าไปกอดธรรมชาติกันนะ อิอิ เมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ที่เหมาะกับการทิ้งตัว ไปปล่อยตัวไปใจ ยกก๊วนพาแก๊งไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ไปตั้งแคมป์ ปีนเขา ดูพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอก เฮ้ยย สายปิกนิกแอดเวนเจอร์สุดๆ ใครมีกีต้าตัวโปรดอย่าลืมนำติดท้ายรถไปด้วยนะ เตรียมไว้สร้างบรรยากาศช่วงยามค่ำคืน และหากพร้อมแล้วล่ะก็ ปักหมุด พิกัด ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไปกันสวัสดีค่ะทุกคน ทักทายอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ >< วันนี้แอดจะพาขึ้นเหนือไปสัมผัสบรรยากาศขุนเขา อากาศบริสุทธิ์ในจังหวัดยอดฮิต โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว จังหวัดแรกๆที่เรานึกถึงก็คงหนีไม่พ้น เชียงใหม่ กันใช่ไหมคะ แต่มาเชียงใหม่ครั้งนี้ แอดขอพาทุกคนออกนอกเมือง แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนืออีก ไปสัมผัสเส้นทางปราบเซียนกับเส้นทางที่คดเคี้ยวลัดเลาะไปตามขุนเขาเป็นเวลาเกือบ3 ชั่วโมง และต่อด้วยทางขึ้นเขาลาดชันแบบโค้งหักศอกอีกราว 20 กิโลเมตร ซึ่งก็จะใช้เวลาอีกประมาณ 30 นาที โอ้โห เรามาทำอะไรที่นี่ หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจตั้งคำถามกับตัวเองใช่ไหมคะ ความสวยงามและประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของการตั้งแคมป์ ปีนเขา ดูพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอกกำลังจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้ค่ะ ก่อนอื่นขอตั้งพิกัดปักหมุด ดอยอ่างขางกันก่อนนะคะ แอดขอพาทุกคนรู้จักกับดอยอ่างขางกันก่อนน๊าา ดอยอ่างขาง ตั้งอยู่บนทิวเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงโดยค่าเฉลี่ย 1,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมียอดดอยสูงสุดถึง 1,928 เมตร เป็นที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งเป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง เริ่มดำเนินงานเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9ดอยอ่างขางมีสภาพอากาศเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยโดยประมาณ 15-17 °C อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 35-38 °C ในเดือนเมษายน ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ติดลบ -3 °C ในเดือนมกราคมดอยอ่างขางเป็นหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ดอยอ่างขางมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เช่น สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง, สวนบอนไซ, จุดชมวิวม่อนสน, จุดชมวิวซุยถัง, หมู่บ้านขอบดัง, หมู่บ้านนอแล เป็นต้นสำหรับครั้งนี้แอดจะขอพาทุกคนไปกางเต้นท์นอน ชมดาวบนดินในยามค่ำคืนที่ขอบอกเลยว่าหนาว! > < รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาชมแสงแรกของวัน และเดินทางขึ้นเหนืออีกเล็กน้อยเพื่อชมทะเลหมอกที่มีลักษณะดุจธารสายน้ำ (ขอบอกเลยว่าว๊าวว มากก ฮ่าๆๆ) ช่วงสายลงไปปีนเขาพิชิตยอดดอย และก่อนกลับแอดขอพาทุกคนไปเข้าชมสวนดอกไม้ ถ่ายรูปคู่กับดอกซากุระและดอกนางพญาเสือโคร่งเพิ่มความชุ่มฉ่ำหัวใจเล็กน้อย ฮ่าๆทุกคนคะวันนี้ขอพาออกเดินทางแบบแอดเวนเจอร์หน่อยน๊าๆๆ เพราะอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดแอดเองค่ะ อิอิ สถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่แต่แอดกลับเคยไปสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกของชีวิตเลยค่ะ ฮ่าๆๆ ดังนั้นทริปนี้จึงเป็นทริปขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยกันค่ะ OMG เส้นทางคือดอยและโค้งหักศอกมากๆ ตั้งแต่เกิดมาแอดยังไม่เคยขี่มอเตอร์ไซต์ขึ้นไปเลยค่ะ ท้าทายสุดๆ ส่วนรถยนต์ก็ขับไม่เป็นอีก ฮ่าๆ ดังนั้นแอดและเพื่อนๆจึงตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซต์ขึ้นไปค่ะ แต่ขอแนะนำนิดนึงนะคะ สำหรับการขับขี่ขึ้นดอยเอง ควรศึกษาเส้นทางให้ดี และเช็คสภาพรถก่อนนะคะ เพราะโอกาสที่รถจะตกดอย รถแหกโค้งก็เห็นว่าเกิดขึ้นแทบจะทุกปีอยู่เหมือนกันนะคะทางขึ้น-ลงดอยอ่างขาง ก่อนจะออกเดินทางวันสองวัน แอดและเพื่อนๆได้รับความอนุเคราะห์จากคุณพ่อเพื่อนแอดในการช่วยนำรถมอเตอร์ไซต์เข้าอู่ให้ช่างเช็คสภาพรถ โดยเฉพาะเบรกก่อนค่ะ ส่วนแอดและเพื่อนๆก็ไปจัดการขอยืมเต้นท์จากเพื่อนบ้านและฝึกเก็บเต้นท์กางเต้นท์กัน ยังไม่เคยกางเต็นท์เองเลยค่ะ ฮ่าๆ และเมื่อถึงวันเดินทาง เราก็ขึ่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไป ซึ่งก็ได้น้องชายผู้ขับรถยนต์เป็นช่วยแบกและนำสัมภาระขึ้นไปส่งให้บนดอยก่อนค่ะ ส่วนแอดและเพื่อนๆก็ขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไป และเนื่องจากแอดยังไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปเลย จึงเลือกมอเตอร์ไซต์ที่ขี่ง่ายที่สุดนั่นก็คือรถออร์โต้ค่ะ แต่ขาลงแอดขี่รถฮอนด้าเวฟที่มีเกียร์ลงดอยนะคะ ตอนลงจะได้ไม่ซิ่งมาก เกียร์ต่ำช่วยให้ลงดอยได้ช้าลงค่ะแอดและเพื่อนๆออกจากบ้านกันตอนบ่ายโมงกว่านะคะ หลังจากขี่ขึ้นดอยสูงชันคดเคี้ยวแล้วเราก็ถึงจุดชมวิวม่อนสน ดอยอ่างขาง ประมาณบ่ายสอง พอถึงที่หมายปุ๊บก็ไปเลือกที่ที่จะกางเต้นท์กันก่อน ซึ่งหากใครไม่ได้เตรียมเต็นท์มา ทางอุทยานมีเต้นให้เช่าด้วยนะคะ หลังละประมาณ 235-300 บาท ส่วนใครที่นำเต็นท์มาเองจ่ายค่าเช่าแค่ 30 บาทค่ะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เบอร์ 0 5208 0801 ลานกางเต็นท์จุดชมวิวม่อนสน มีห้องน้ำแยกชายหญิงอารมณ์ประมาณห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน ถือว่ามีหลายห้องอยู่นะคะ นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำด้วย ส่วนใครที่กังวลเรื่องการกินว่าจะหากินได้จากไหน ที่นี่ก็มีร้านค้าร้านอาหารจากคนในพื้นที่ให้บริการด้วยค่ะ ช่วงเช้าก็จะมีโจ๊ก ข้าวเฟินและบะหมี่ขายค่ะแต่ว่ามื้อเย็นวันนี้เพื่อนแอดพาบุกเข้าไปยังหมู่บ้านในระแวกนั้นซึ่งมีชื่อว่าบ้านหลวงค่ะ และเหตุผลที่แอดและเพื่อนๆยืนยันที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาก็เพื่อความสะดวกด้วยค่ะ และระหว่างขี่รถไป รถคันแอดถูกฝูงมะหมาไล่ด้วย แอดและเพื่อนที่นั่งซ้อนท้ายยกขาขึ้นสูงมากสูงถึงขั้นว่าขาของเพื่อนแอดคือเกือบเตะโดนหน้าแอดแล้ว >< แต่คันของเพื่อนคือไม่เป็นไรไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะคะ ฮ่าๆ และพอถึงที่หมายคุณเพื่อนแอดก็พาไปร้านขายหม่าล่าปิ้งที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเลยค่ะ และทุกคนคือสายกินมาก ก็นั่งกินหม่าล่าปิ้งกันประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซต์ลงไปยังที่พักของเรานั่นก็คือ จุดชมวิวม่อนสนค่ะสำหรับคืนนี้เราไม่อาบน้ำกันแล้วนะคะ เพราะทุกคนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนออกเดินทางแล้ว พอถึงที่พักแอดและเพื่อนก็ไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวเข้านอนกันค่ะเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อรอดูแสงแรกของวัน รอดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ แต่ระหว่างเดินไปยังรู้สึกตื่นเต้นกับภาพดาวบนดินที่อยู่ด้านล่าง บวกกับลมอ่อนๆอากาศเย็นๆ แอดและเพื่อนอีกคนจึงขอไปชมบรรยากาศที่แอบโรแมนติกนิดๆตรงจุดชมวิวก่อนสักพักจากนั้นค่อยกลับไปที่เต้นเพื่อเตรียมตัวเข้านอนกันค่ะการนอนเต็นท์บนดอยสูงท่ามกลางป่าเขาในช่วงเดือนมกราคม(หน้าหนาวของไทย)ถือว่าหนาวเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะคะทุกคน ขนาดเต็นท์สำหรับ3คนแต่เรานอนกัน4คนซึ่งหมายความว่าทุกคนต้องนอนท่าตรงเบียดกันเหมือนปลากระป๋องเลย ฮ่าๆ แต่ยังรู้สึกหนาวอยู่นะคะ ใส่ถุงเท้าใส่เสื้อแขนยาวนอนก็แล้ว ไอเย็นจากธรรมชาติต้องยกนิ้วให้เลย ถ้าใครชอบความหนาวเย็นคือเริศเลยค่ะ ฮ่าๆและวันนั้นเราตั้งเวลาปลุกกันตอนประมาณตี4ครึ่ง แต่ตื่นจริงก็เกือบตีห้าแล้วค่ะ ไม่อาจผละที่อุ่นๆตรงนี้ไปได้ อิอิ สุดท้ายก็แข็งใจตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวแต่งหน้าเตรียมถ่ายรูปและชมแสงแรกของวันค่ะ แต่วันนี้โชคไม่ดี ท้องฟ้าไม่ปลอดโปร่งเลยพลาดแสงแรกสวยๆไป เห็นแค่แสงสีส้มอ่อนที่ถูกหมอกควันหนาบดบังไว้ เนื่องจากพลาดบรรยากาศแสงแรกที่สวยราวแสงเหนือไม่เหมือนที่เพื่อนเคยรีวิวไว้ แอดและเพื่อนเลยตัดสินใจขึ้นไปชมทะเลหมอก ณ จุดชมวิวซุยถังแทน ซึ่งก็ไปด้วยความไม่แน่ใจว่าจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกอยู่หรือเปล่า เพราะตอนนั้นก็เริ่มสายแล้ว มัวอยู่ที่จุดชมวิวม่อนสนนั่งรอให้ทะเลหมอกปรากฎขึ้นหรือท้องฟ้าจะแจ่มใสมากขึ้น แต่รอเสียเที่ยว พี่สาวอีกสองคนที่มาร่วมแจมทริปในตอนเช้าเลยแนะนำให้ไปจุดชมวิวซุยถังเพื่อชมทะเลหมอกแทน ถ้าไปทันก็อาจได้เจอทะเลยหมอกค่ะพอมาถึง แอดถึงกับร้องว๊าวเลยค่ะ สวยมากๆ เหมือนได้หลุดเข้าไปในฉากซีรี่ย์จีนโบราณที่เหาะเหินเดินอากาศได้ยังไงยังงั้นเลยค่ะ ขุนเขา หน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านในระยะที่ใกล้สายตา ให้ความรู้สึกถึงความหนักแน่นของภูผามากๆเลยค่ะ ขุนเขาภูผาสูงใหญ่สลับซ้อนกันไปมาทั้งสองฝั่ง จึงก่อให้เกิดช่องแคบระหว่างขุนเขาอยู่ตรงกลางคดเคี้ยวไปจนสุดสายตา ช่องแคบถูกเติมเต็มด้วยทะเลหมอกสีขาวและไหลไปตามแนวโค้งของขุนเขา และนี่จึงกลายเป็นที่มาของชื่อจุดชมวิว"ซุยถัง" "ซุยถัง"เป็นภาษาจีนยูนาน ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า ทะเลสาบ ดังนั้นภาพที่เห็นจะบอกว่าที่นี่คือธารน้ำแห่งสายหมอกก็คงจะไม่ผิดอะไร (มีความอวยมาก แต่สวยมากจริงๆนะคะทุกคน ><ชมทะเลหมอก ณ จุดชมวิวซุยถังแล้ว แอดและทุกคนก็ลงไปทานข้าวเช้าณ จุดชมวิวม่อนสน ซึ่งทุกคนเลือกทานโจ๊กนะคะ เพราะเดี๋ยวเราจะไปปีเขาพิชิตยอดกันต่อ ทานเยอะเดี๋ยวจุกค่ะ พอทานเสร็จแอดและทุกคนก็เดินออกมาแถวริมถนนนะคะและเดินขึ้นเหนือไปเล็กน้อยตามป้ายบอกทางเลยค่ะ สักพักก็จะเจอป้ายที่เขียนบอกว่าทางปีนเขา หลังจากนั้นก็คือเข้าป่าปีนเขากันค่ะ ระยะทางเดินเขาไม่ไกลมากนะคะประมาณ 1กิโลเมตรค่ะ แต่ที่เหนื่อยคือมันต้องปีนป่ายขึ้นไปค่ะ ระหว่างทางเสื้อกันหนาวหนาๆและน้ำเปล่าหนึ่งขวดกลายเป็นของหนักมากๆไปแล้วนะคะ ฮ่าๆๆระหว่างทางพิชิตยอด ภาพโดย Mei Solo Nomadและด้วยความพยายามแอดและทุกคนก็สามารถพิชิตยอดดอยอ่างขางได้สำเร็จค่ะ เรายืนอยู่จุดที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,928 เมตรเลยนะคะ >< พิชิตยอดได้แล้วก่อนกลับขอแวะไปชมดอกซากุระที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ถ่ายรูปชมความงาม เปลี่ยนบรรยากาศแป๊บค่ะ ฮ่าๆ พอถ่ายรูปกันจนเต็มอิ่มแล้วก็กลับลงไปเก็บเต็นท์เก็บกระเป๋าแล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ลงดอยกันค่ะ ต้องขอพูดจากใจเลยว่าทางลงน่าหวาดเสียวมากๆ และจำเป็นที่จะต้องจอดพักเครื่องระหว่างทางด้วยค่ะ เพราะใช้เบรกมากไป และแอดคือเพิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกด้วย ต้องขอบคุณคุณเพื่อนที่นั่งซ้อนท้าย ที่ไว้ใจและกล้านั่งไปด้วยกันแม้เราจะร้องกรี๊ดกันไปหลายรอบแล้วก็ตาม ฮ่าๆ สำหรับการเดินทางมายังดอยอ่างขางแนะนำให้มาด้วยรถส่วนตัวนะคะ วิธีง่ายที่สุดคือเปิด Google map แล้วเลือกพิกัดที่จะไปจากนั้นก็ขับไปตามพี่จีพีเอสเลยค่ะ ซึ่งการเดินทาง ส่วนมากจะใช้อยู่2เส้นทางหลัก คือเส้นทางที่ 1 ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 มุ่งหน้าไปยังอ.แม่ริม ผ่านอ.แม่แตง ถึงกิโลเมตรที่ 80+300 (แยกเมืองงาย) แล้วเลี้ยวซ้าย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1178 ตอน นาหวาย-สินไชย - ดอยอ่างขาง ถึงกิโลเมตรที่ 31+200 เลี้ยวขวา ที่สามแยกรินหลวงขึ้นสู่ดอยอ่างขาง มาบรรจบทางหลวงหมายเลข 1249 ที่กิโลเมตรที่ 19 + 000 แล้วเลี้ยวซ้าย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1249 จนถึงสถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง ทัศนีย์ภาพส่วนมากเป็นป่าเขา ไม่ผ่านในเมืองพิกัด ดอยอ่างขางเส้นทางที่ 2 ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 มุ่งหน้าไปยังอ.แม่ริม ผ่านอ.แม่แตง พอถึงเมืองงายให้ขับต่อไปบนเส้นทางหลวงหมายเลข 107 ผ่าน อ.เชียงดาว อ.ไชยปราการ จนถึง อ.ฝาง ต.แม่ข่า จนถึงสามแยกปากทางดอยอ่างขาง หน้าวัดหาดสำราญ แล้วเลี้ยวซ้าย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1249 จนถึงสถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง 30 นาที ทัศนีย์ภาพส่วนมากเป็นป่าเขาสลับเมือง เมื่อเข้าสู่เขตในเมืองของอ.เชียงดาว อ.ไชยปราการ สำหรับแบคแพคเกอร์ เดินทางด้วยรถประจำทาง ให้ขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 1 (สถานีขนส่งช้างเผือก) ซึ่งเป็นรถบัสสีส้ม รถพัดลมราคาไม่ถึง 100 บาท รถแอร์ 120 บาท หรือจะนั่งรถตู้ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีขนส่งช้างเผือก ราคา 150 บาท ตอนซื้อตั๋วให้แจ้งจุดลงรถคือ ปากทางอ่างขางหรือหน้าวัดหาดสำราญได้เลยค่ะ สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารจะใช้เส้นทางที่ 2ในการเดินทาง ใช้เวลาเดินทาง3ชั่วโมงถึงปากทางอ่างขาง จากนั้นในวัดหาดสำราญจะมีรถสองแถวบริการรับส่งขึ้นไปยังดอยอ่างข่างค่ะ ซึ่งส่วนมากต้องเหมารถไปแนะนำไปเป็นคณะไปเป็นก๊วนดีกว่า จะได้แชร์ค่าเดินทางและสนุกด้วยค่ะ ><อ้อแอดขอฝากทริกในการเดินทางเพิ่มเติมนะคะ สำหรับใครที่เมารถง่ายให้เตรียมยาแก้เมารถไว้ด้วยนะคะ ทานเผื่อไว้เลยก็ได้ค่ะ เพราะทางคือคดเคี้ยวจริงๆ และถ้าหากคาดว่าจะมาถึงอ.ฝางดึก แนะนำให้ใช้เส้นทางที่2นะคะ ขับเลยปากทางอ่างขางไปอีกหน่อยจะเข้าเขตตัวเมือง ซึ่งก็จะมีโลตัส แม็คโคร และโรงแรมหรูระดับสี่ดาวด้วยค่ะ เผื่อใครที่พาครอบครัวที่มีทั้งเด็กเล็กและผู้สูงวัยมาด้วยค่ะ อิอิ ^^ ภาพทั้งโดย (Mei Solo Nomad) และขอบคุณภาพจากGoogle Mapsแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”